บทความที่ได้รับความนิยม

วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2554

คูหามรณะ(Dr Marcel Petiot)หมอ เมร์เซล์ ปดีต

หมอมาร์เซล์ ปดีต

"ด้วยปฏิญาณแห่งข้า ข้าขอสาบานจะนับถือบูชาอาจารย์ดุจบิดามารดาอันเป็นที่รักของข้า ข้าจะปฏิบัติต่อผู้ป่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจ จักดูแลรักษาพวกเขาเต็มความสามารถเท่าที่จะทำได้ ข้าจักไม่ให้โอสถอันเป็นพิษแก่ใคร ๆ แม้จะได้รับการเรียกร้องขอก็ตาม ความลับของผู้ป่วยที่ข้าไปรู้เห็นข้าจะรักษามันไว้ด้วยชีวิต ด้วยสัจจะนี้ ขอให้ข้าจงประสบแต่ความสุขความเจริญในชีวิตข้าตลอดไป..................."

คำปฏิญาณการเป็นแพทย์ของฮิบโปเครติสบิดาแห่งแพทย์ศาสตร์ดังไปทั่วสถานที่รับ ปริญญาบัตรแพทย์ศาสตร์ บางคนต่างร่ำไห้ที่สำเร็จการศึกษา เพื่อที่จะใช้วิชานั้นสร้างประโยชน์แก่สังคม โดยไม่เห็นแก่ได้ ยกเว้น คน ๆ คนหนึ่ง เขาไม่กล่าวคำสาบานของบิดาการแพทย์เลย กลับนั่งตรงมุม หัวเราะเงียบ ๆ กับคำสาบานของบิดาการแพทย์ผู้นั้น เพราะในหัวของเขามีแต่เรื่องฆ่า กับฆ่า และกำไรและกำไร
หมอมาร์เซล์ ปดีต หมอชาวฝรั่งเศส ที่ต่อมาเขาได้ใช้ประโยชน์สงครามโลกครั้งที่สองเป็นเครื่องมือฆ่าคนเพียง เพื่อฆ่าชิงทรัพย์เท่านั้น
ผลคือ ชีวิตของผู้บริสุทธิ์ต้องตกเป็นเหยื่อของหมอ 63 ชีวิต ตายอย่างสยดสยองในคูหามรณะที่เขาสร้างขึ้น ชื่อและความชั่วของเขาโด่งดังไปทั่วโลกเทียบชั้นหมอดีที่ทำคุณประโยชน์บางคนเสียอีก
เรามาทำความรู้จักกับฆาตกรคนนี้กันเถอะ

ชีวิตวัยเด็กของหมอมาร์เซล์ไม่มีใครทราบมากนัก รู้เพียงแต่ว่าเขาเกิดที่เมืองโอแซร์ ประเทศฝรั่งเศส เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงมักพูดตรงกันว่าเขามีนิสัยซาดิสม์มาตั้งแต่เด็ก ชอบกระทำทารุณแก่สัตว์หรือเด็กที่เล็กกว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาผ่าตัดเพื่อศึกษาว่าตัดส่วนไหนให้สัตว์พิการโดยไม่ตาย
เมื่อความสนุกกับการทรมานสัตว์นาน ๆ เข้า มาร์เซล์เริ่มมีความรู้สึกอยากเป็นหมอ เพราะเขาเริ่มสนใจร่างกายมนุษย์ และเป็นอาชีพที่ทำมาหากินง่ายกว่าอาชีพอื่น ๆ
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มาร์เซล์ได้ไปทำงานที่หน่วยพยาบาลผู้บาดเจ็บที่เมืองดีชอง ระหว่างพักเขามักขโมยเอามอร์ฟีนไปขายแก่พวกขี้ยาเสมอ...


ที่นี่เอง มาร์เซล์เขาได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง เห็นคนเจ็บคนตายที่ร้องขอชีวิต การฉีดยาพิษเข้าเส้นประสาทแก่คนใกล้ตายเพื่อให้ตายอย่างสงบ เลือด ความตาย มาร์เซล์เริ่มหลงใหลกับชีวิตแบบนี้จนถอนตัวไม่ขึ้นหลังจากนั้นเขาได้ไปศึกษาวิชาการแพทย์ จนสำเร็จในปี 1921 หมอมาร์เซล์เรียกใบอนุญาตการเป็นหมอว่า "เครื่องมือสร้างเงิน"..
ต่อมา หมอมาร์เซล์มาตั้งร้านทำมาหากินที่เมืองวิลเนิฟ ซูร์ ยอนน์
เขามักพูดเรื่องคำสาบานของปรมาจารย์ฮิปโปคราติสกับเพื่อนร่วมงานอยู่บ่อย ๆ ว่า
"คำสาบานของไอ้แก่ ฮิปโปคราติสหรือ ฉันไม่สนหรอก ฉันสนเงินมากกว่า ฉันอยากได้เงิน อยากได้เพื่อบำเรอความสุขของฉัน และตอนนี้ฉันมีวิธีหาเงินกว่าร้อยกว่าวิธีแล้วล่ะ"
หมอมาร์เซล์เริ่มทำงานทางด้านนี้ ครั้งแรกเ ริ่มจากรักษาคนรวยจะเก็บค่ายา ค่ารักษาในราคาที่แพง ส่วนคนจนเขาจะรักษาฟรี โดยเหตุนี้บรรดาชาวบ้านต่างตะหนักว่าหมอมาร์เซล์ได้พึ่งพาได้
นอกจากนั้นหมอมาร์เซล์ยังมีอาชีพเสริมอีกคือ การขายยาเสพย์ติด และการทำแท้งเถื่อนของหญิงสาว!
เรื่องน่ากลัวเริ่มเกิดขึ้นแล้ว

ข่าวการสูญหายของหญิงสาวสวยที่กำลังตั้งท้องหลายรายเริ่มเกิดขึ้น พร้อมกับเพื่อนบ้านที่ได้ยินเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดในบ้านของคุณ หมอใจดีผู้คนนั้น แต่อย่างมากข่าวลือนี้ชาวบ้านแค่ซุบซิบกันเล่น ๆ เท่านั้น เพราะเวลานั้นหมอมาร์เซล์เป็นที่นับถือของคนในหมู่บ้านมาก ถึงขั้นจะแต่งตั้งหมอมาร์เซล์เป็นนายกเทศมนตรีที่เดียว
ปี 1930 คนไข้คนหนึ่งของหมอซึ่งเป็นเจ้าของร้านในระแวกนั้นถูกฆ่าและปล้นทรัพย์ มีคนพบเห็นหมอป้วนเปี้ยนสถานที่ที่เกิดเหตุก่อนที่เจ้าของร้านถูกฆ่า นอกจากนี้ก็มีเหตุการณ์คนไข้ที่เป็นโรคไขข้อของหมอตายอย่างฉับพลัน อย่างมีเงื่อนงำหลายราย แต่หมอดันออกใบมรณะบัตรว่า "ตายอย่างปกติ" สร้างความขุ่นเคืองต่อชาวบ้านมาก จนมีข่าวลือที่เสียหายตามมาเป็นระลอกชีวิตของหมอในเมืองเนิฟฟ ซูร์ ยอนน์ ชักจะร้อนระอุเสียแล้ว ขืนปลอยไว้นานจะไม่เป็นผลดีเสียแล้ว เมื่อหมอมาร์เซล์คตคิดได้ดังนั้น จึงเก็บข้าวของหนี และอพยพไปอยู่กรุงปารีสก่อนที่เรื่องจะบานปลายมากกว่านี้

ที่นั้นเองคือจุดเริ่มต้นของคูหามรณะ
เมื่อหมอมาถึงเมืองปารีส ก็เริ่มอาชีพทำมาหากินทันที่ ร้านหมอหมายเลข 60 ถนนโคมาร์แตง แหล่งที่ คึกคัก หรูหราที่สุดในเมือง หมอเริ่มขายยาเสพติดแก่พวกติดยาในราคาถูก ๆ การรับจ้างทำแท้งเถื่อนแก่ผู้ไม่ปรารถนาจะมีบุตร คือวิธีที่หมอคนนี้ถนัด จนในไม่ช้าลูกค้าที่จงรักภักดีเยอะแยะ หลายคนมักเห็นเขาว่าเขาเป็นสามีที่ดี เป็นคนเคร่งศาสนาไปโบสถ์ทุกอาทิตย์ มีลักษณะของพลเมืองดีไว้อย่างครบถ้วน
แต่นี้เป็นแค่หน้ากากภายนอกเท่านั้น ส่วนในจิตใจหมอมาร์เซล์กำลังหาโอกาส โอกาสที่จะทำกำไรเข้ากระเป๋าของตนอย่างมหาศาล ขอแค่โอกาสเท่านั้น

และวันนั้นก็มาถึง ปี 1940 เป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพนาซีได้ยาตราเข้ามาในกรุงปารีส อย่างง่ายดาย เพราะฝรั่งเศสขอยอมแพ้โดยไม่ขัดขืน
หลายคนที่ชอบประวัติศาสตร์โลก และชอบสงครามโลกครั้งที่ 2 คงทราบว่าฮิตเลอร์ผู้นำนาซีและเยอรมันนั่นเป็นคนที่รังเกียจชาวยิวอย่างยิ่ง เขาคิดหลากหลายวิธีที่จะกำจัดชาวยิวออกไปจากโลก และได้ให้คำสั่งที่น่ากลัวแก่เหล่าทหารนาซีของเขาว่า

"จงกำลังชาวยิวที่พบเห็นให้หมด"
นี้เองที่ทำให้นาซีได้แต่งตั้งตำรวจลับเกสตาโปขึ้นในฝรั่งเศส หน้าที่ของตำรวจลับคือสืบเสาะ และสังหารผู้ต่อต้านนาซี จับกุมผู้ที่คาดว่าเป็นชาวยิวในฝรั่งเศสให้หมดเพื่อส่งไปค่ายมรณะหรือไม่ก็ ค่ายกักกันและใช้แรงงานหนักจนตาย
พวกชาวยิวที่อยู่นครหลวงในฝรั่งเศสค่อย ๆ หายสาบสูญ บางคนไม่รู้ว่าญาติของตนหายแล้วไปอยู่ที่ค่ายมรณะ บางคนเตรียมที่จะหนีไปนอกประเทศแต่ไม่มีโอกาสทั้ง ๆ ที่มีเงินมาก
สถานการณ์นี้แหละที่เข้าทางความคิดของหมออย่างยิ่ง ที่จะสร้างกำไรเข้ากระเป๋า และความปรารถนาที่จะปลดปล่อย*ดิบในวัยเด็กของเขาได้ซักที
หมอมาร์เซล์ซื้อคฤหาสน์ร้างแห่งหนึ่ง หมายเลข 21 ถนนเลอเซอร์ ราคาครึ่งล้านฟรัค์ แล้วก็ตกแต่งเสียใหม่ให้เหมาะต่อการปฏิบัติการโหดของเขา ห้องที่เก็บเสียงที่มิดชิด หน้าต่างที่ถูกปูนโบกปิดสนิทยกเว้นประตูบานเดียวทุกห้อง และทุกห้องถูกเจาะรูถ้ำมองเอาไว้ มีครั้งหนึ่งช่างเกิดสงสัยจะถามหมอว่าทำไปทำไม หมอบอกสั้น ๆ ว่าเพื่อสังเกตคนไข้โรคจิต และส่วนที่เป็นที่ ลับสุดยอดของคฤหาสน์ร้างแห่งนี้คือ เตาเผาขนาดยักษ์หนึ่งเตาในห้องใต้ดิน
คริสต์มาสปี 1941 ทุกสิ่งทุกอย่างก็พร้อม..พร้อมสำหรับทำอะไร?

หมอมาร์เชล์เริ่มแพร่ประกาศข่าวออกไป ว่าเขาสามารถติดต่อพวกใต้ดินฝรั่งเศส สามารถแอบพาคนที่เกสตาโปกำลังล่าตัวอยู่หนีไปยังสเปนหรือคิวบาได้ พวกที่คิดหนีสามารถติดต่อได้ แต่มีข้อแม้คือต้องมีเงินสำหรับเตรียมการหนีมากหน่อย และต้องฉีดยาป้องกันโรคก่อนที่จะเข้าไปประเทศที่ลี้ภัยได้
พวกชาวยิวและพวกต่อต้านที่กำลังขวัญเสียได้ยินข่าวนี้ก็ยอมทันที ขายข้าวของทรัพย์สมบัติ เพื่อให้ตัวเขากับครอบครัวหนีออกไปประเทศฝรั่งเศส แต่ ทุกคนต่างไปคฤหาสน์ร้างนั้น แต่ไม่มีใครสักคนที่รอดชีวิตออกมา

เกิดขึ้นอะไรในนั้น?ครั้งแรกเมื่อเหยื่อมาถึงหมอให้ถลกแขนฉีดยาซึ่งความจริงแล้วคือยาพิษ แต่ฤทธิ์ของมันออกช้ามาก ก่อนเวลามาถึง หมอก็ให้เหยื่อพักที่ห้องเก็บเสียงก่อน จากนั้นปิดล็อกและหมอก็ถ้ำมองที่รูที่เจาะไว้รอจนกว่ายาออกฤทธิ์ เหยื่อชักกระตุก น้ำลายฟูมปาก หน้าเขียว เมื่อเหยื่อตายแล้ว ก็ลากเอาศพลงไปยังห้องใต้ดิน เอามาลงแช่ในน้ำปูนขาวที่ซื้อมอริสน้องชายแท้ ๆ ที่เมืองโอแชร์ส่งมาให้ เสร็จแล้วก็ยัดศพเข้าเตาเผา สุดท้ายก็ตรวจดูทรัพย์สินที่เหยื่อทิ้งไว้ให้ ไม่ว่าจะเป็นแก้วแหวนเงินทอง ทรัพย์สินต่าง ๆ มาลงบัญชีรายละเอียดไว้เป็นราย ๆ ไป..
เขารู้สึกมีความสุขมากที่นับเงินนั้น แม้มีข่าวไม่ดีว่าไม่มีใครออกจากคฤหาสน์ร้างนั้น แต่ลูกค้าก็ยังแห่เข้าคิวหาหมอมากยิ่งขึ้น ทั้งชาวยิวเล็ดรอดจากเกสตาโป ครอบครัวมั่งคั่งที่กลัวพวกนาซียึดทรัพย์ก็ดี หรือแม้แต่เพื่อนหมอที่อยากหนีจากฝรั่งเศส แต่ทั้งหมดนี้เมื่อเข้าคฤหาสน์นั้นแล้วไม่มีใครรอดกลับออกมาอีกเลยนับแต่ นั้นเป็นเวลาถึง 18 เดือน หมอมาร์เซล์ชักรู้สึกกระฉับกระฉายเพราะเหยื่อไม่มาหาถึงที่สักที หมอจึงแก้ปัญหาวิธีนี้โดยเอาคนไข้ถนนโคมาร์แตงมาสังหารที่คฤหาสน์เสียเลย ไม่มีใครสงสัยหรอกเพราะทุกคนกำลังหวาดกลัวสงครามโลกอยู่ โดยที่ภรรยาไม่สงสัยหมอแม้แต่น้อยว่าทำไมต้องเอาคนไข้ไปรักษาถึงคฤหาสน์นั้น ให้ยุ่งยากด้วย

ปลายเดือนฤดูใบไม้ผลิ ปี 1943 ปฏิบัติการโหดของหมอมีอาการสะดุด เพราะพวกเกสตาโปงเริ่มงง สงสัยมานานแล้วว่าพวกชาวยิวที่ตนกำลังควานหาตัวอยู่นานนั้นหายไปไหนกันหมด เมื่อสืบไปสืบมาจึงรู้ว่าพวกนี้ล้วนแต่มีสายโยงมาถึงหมอ และเริ่มสงสัยหมอว่าเป็นสายพวกใต้ดินฝรั่งเศสลักลอบพาคนหนี
เมื่อคิดได้ดังนั้นนั้นจึงส่งเกสตาโปคนหนึ่งไปสืบ โดยแกล้งทำเป็นพวกหนีออกนอกประเทศ เพื่อจับให้ได้คาหนังคาเขา แต่กลับถูกหมอฆ่าไปเสียนี้ ก็มันนึกว่าเป็นเหยื่อนี้น่ามันเป็นหลักฐานที่ได้มาด้วยชีวิต

พวกนาซีเมื่อรู้ว่าพวกตนไม่กลับมาจึงรีบตะครุบตัวหมอ จับขังไว้หลายเดือน จนกระทั้งถูกปล่อยตัวเมื่อต้นปี 1944 เพราะหมอแก้ตัวว่าที่ทำไปเพื่อวัตถุประสงค์กำจัดชาวยิวและพวกต่อต้านนาซี พวกนาซีได้ฟังดังนั้นก็ชอบใจ มันตรงความสมประสงค์ของพวกเขา และต่างพากันเอาหูเ อาตาไปไร่ เพราะเมื่อเขากลับเขาก็เริ่มกิจกรรมกับโรงงานฆ่าคนอย่างที่เคย แต่มาคราวนี้ไม่มีโอกาสที่เอาศพมาแช่ปูนขาวก่อนเผาอีกแล้ว เพราะระหว่างที่หมอมาร์เซล์ถูกจับตัวไป มอริสน้องชายได้มาเยี่ยมที่ปารีสและพบกับความลับในคฤหาสน์ที่ถนนเลอเซอร์ เข้า จึงรู้ทันที่ว่าพี่ชายซื้อปูนขาวจำนวนมากมายไปทำอะไร นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่ยอมให้ความร่วมมือในการส่งปูนขาวให้อีกการเผาศพโดยไม่แช่ปูนขาวจะทำให้เกิดควันไฟพลุ่งจากปล่องและส่งกลิ่นเหม็นมาก ขึ้น ทำให้บริเวณบ้านใกล้เรือนเคียงต่างทนไม่ไหวกับกลิ่นนี้ แต่ตอนนั้นยังไม่มีใครติดใจสงสัยว่าหมอกำลังเผาอะไรในคฤหาสน์หลังนั้น จนกระทั้ง…

11 มีนาคม 1944 เจ้าของบ้านเลขที่ 20 ถนนสายเดียวกัน ได้พาและกองดับเพลิงจำนวนมากมาคฤหาสน์หลังนั้น เพราะสงสัยว่าควันนั้นอาจเกิดจากไฟไหม้ พอดีหมอมาร์เซล์ไม่อยู่บ้าน ตำรวจและกองดับเพลิงไม่มีเวลาไปตามตัวหมอ เพราะไฟอาจลามไปข้างเคียงได้ จึงได้บุกเข้าไป พบว่าต้นเพลิงอยู่ชั้นใต้ดิน พบเตาเผาที่กำลังลุกไหม้ และสิ่งที่สยดสยองที่ไม่เคยพบในโลกนี้
ซากศพที่ถูกตัดเป็นท่อน ๆ ที่เกลื่อนกลาดราวกับขยะ นับคล่าว ๆ ได้ประมาณ 27 ศพ มีทั้งเพศชาย หญิง คนแก่ และเด็ก ทุกศพถูกหัน ชิ้นส่วนกระจัดกระจาย ไม่ว่าจะเป็น ศีรษะ ลำตัว แขนขา
หมอมาร์เซล์ได้ยินข่าวก็รีบมาที่ คฤหาสน์ทันที

"เอ้อ………….คือว่าศพทั้งหมดนี้เป็นพวกทรยศชาติกับทหารนาซี ผมจำเป็นต้องสังหารน่ะครับ" หมอแก้ตัวอย่างนั้น น่าแปลกที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่เชื่อคำแก้ตัวของหมอ เนื่องจากบุคลิกที่น่าเชื่อถือของหมอเองหรือช่วงนี้ใกล้จะยุติสงครามโลก ครั้งที่สองแล้วเพราะฝ่ายสัมพันธมิตรใกล้จะปลดปล่อยฝรั่งเศสจากเยอรมันเร็ว ๆ นี้ จึงไม่ใส่ใจอะไรกับคดีมากนัก และวันนั้นเองตำรวจก็กลับไปโดยไม่มีการจับกุมตัวหมอใด ๆ ทั้งสิ้น
หมอมาร์เซล์รู้ตัวดีว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องปิดฉากคูหามรณะเสียที่ เขารีบเก็บของแล้วเผ่นไปจากปารีสไปหลบซ่อนในบ้านนอกในขณะเดียวกันตำรวจดันไปเจอกองมหาสมบัติและบัญชีรายชื่อคนเข้าห้องมรณะจำนวน กว่า 63 คน เมื่อตำรวจสอบประวัติผู้ตายแล้วไม่พบคนทรยศชาติสักคน
แต่ก็สายไปแล้ว หมอมาร์เซล์หลบหนีออกจากปารีสและไม่พบข่าวคราวอีกเลย ตำรวจทำได้แค่ลงหน้าและเรื่องราวของหมอมาร์เซล์ไว้ในหนังสือพิมพ์แจกจ่ายไป ทั่วปารีตเท่านั้น

วันนี้เป็นวันเฉลิมชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง ตามถนนชองป์ เอลิเซ นำโดยขบวนกองทัพของนายพลเดอโกลด์ มีชายคนหนึ่งเขาไว้หนวดไว้เครา มีเหรียญตราเก๊ๆมาประดับที่หน้าอกเดินร่วมกับเขา
"นั้นหมอมารืเซล์ ปดีต นี้" ตำรวจที่ต้องการตัวหมออย่างหนักจำเขาได้ และหมอมาร์เซล์ก็ถูกจับในวันนั้นเองเมื่อชีวิตของผู้คนกลับคืนสู่ปรกติหลังจากการปลดปล่อยแล้ว ตำรวจได้สะสางคดีหมอมาร์เซล์ใหม่
หมอยืนยันเขาสังหารเฉพาะคนทรยศชาติและกลับคำมาสู้กันในศาส ตลอด 18 เดือนที่ถูกศาลชัก แต่คราวนี้คณะลูกขุนไม่โง่เหมือนพวกตำรวจ หลักฐานต่าง ๆ เช่น หีบห่อเสื้อหากว่า 1500 ชุด ห้องในคฤหาสน์มรณะ บัญชีรายชื่อเหยื่อ และเงินที่จดบันทึกเป็นหลักฐานที่หมอดิ้นไม่หยุด
ตอนที่ศาลอ่านคำพิพากษา ณะนั้นคนอื่นเข้าร่วมส่งเสียกันระเบ็งเซ็งแซ่จนจำเลยแทบไม่ได้ยินคำตัดสิน จนต้องถามคนข้างเคียงว่าตนมีความผิดหรือไม่
"นายถูกตัดสินประหารชีวิตน่ะ" คนข้างเคียงบอกหมอมาร์เซล์มีได้ยินว่าถูกลงโทษประหาร ก็แหกปากร้อง
"กูจะแก้แค้น"
เช้าตรู่ 26 พฤษภาคม 1946 ขณะที่หมอมาร์เซล์กำลังเดินเข้าไปสู่กิโยตินเพื่อประหารชีวิตนั้น หมอมาร์เซล์ได้ขอร้องคนข้างเคียงเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตว่า
"ขอปัสสาวะหน่อยน่ะ"
แต่เพชรฆาตไม่ทำตามคำขอร้องจองหมอมาร์เซล์หมอมาร์เซลล์ถูกกิโยตินปั่นหัวออก จากร่างในเช้าตรู่ ตายทั้ง ๆ ที่ปวดฉี่อยู่

"ด้วยปฏิญาณแห่งข้า ข้าขอสาบานจะนับถือบูชาอาจารย์ดุจบิดามารดาอันเป็นที่..."
คำปฏิญาณการเป็นแพทย์ของฮิบโปเครติสบิดาแห่งแพทย์ศาสตร์ยังดังไปทั่วสถานที่ รับปริญญาบัตรแพทย์ศาสตร์ทั่วโลก แต่เชื่อเลยว่าปีศาจในร่างของหมอนอกจากหมอมาร์เซล์ยังเกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย และความโหดอำมหิต..ที่ตามมาอย่างซ่อนเงื่อนและฉลาดกว่าเดิม ตราบใดที่มนุษย์ยังมีรัก โลภ โกรธ หลง อยู่อย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดไป.........
เรียบเรียงข้อมูลเพิ่มเติมโดย manman

รายการบล็อกของฉัน

 hellomanman  happy-topay  invite-buying
 men-women-apparel diarylovemanman news-the-world
 homemanman alovemanman
 menmen-love
 ghost-in-manman  U.F.O.manman fishmanman
foodmanman  flowermanman herbs-in-manman
devilmanman herbs-in-manman manman clip