"โพคอง" ตำนานผีพยาบาทในผ้าห่อศพของประเทศอินโดนีเซีย
ในประเทศอินโดนีเซียนั้นมีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง พูดถึงประสบการณ์สยองขวัญที่มีผู้คนมากมายได้พบเจอกับมัน ต้องอกสั่นขวัญผวากับความสยองขวัญที่พวกเขาได้พบว่ามันคือลางร้าย มันคือความพยาบาท เพียงแต่ทำไมมันถึงต้องออกอาละวาดไล่หลอกหลอนผู้คนไปทั่วแบบนั้น
ถ้าหากคุณได้มีโอกาสออกไปขับรถเล่นบนถนนของประเทศอินโดนีเซียในยามค่ำคืน และจู่ ๆ ก็มีบางสิ่งบางอย่างกระโดดออกมาจากข้างทางตัดหน้ารถที่คุณกำลังขับอยู่ จนทำให้คุณต้องเหยียบเบรคกันจนตัวโก่งแล้วล่ะก็ อยากจะให้ท่านผู้อ่านลองสังเกตดูกันดี ๆ ว่า เจ้าสิ่งที่ทำให้เราต้องเกือบจะประสบอุบัติเหตุนั้น มันใช่โพคองหรือเปล่า?
"โพคอง" ที่ว่านี้ก็คือผีชนิดหนึ่ง ที่ออกมาเที่ยวหลอกหลอนผู้คนด้วยรูปลักษณ์ของศพคนตายที่ถูกห่อด้วยผ้าลินินสีขาว ใบหน้าเขียวคล้ำเน่าเฟะ ดวงตาทั้งสองข้างลึกกลวงโบ๋ และจุดสังเกตที่จะทำให้เรามั่นใจได้ว่ามันคือโพคองแน่ ๆ ก็คือนอกจากมันจะถูกห่อด้วยผ้าขาวแล้ว ที่บริเวณศีรษะ ลำคอ และปลายเท้าของมัน จะมีเชือกมัดตราสังข์เอาไว้ที่จุดดังกล่าวอย่างแน่นหนา
"โพคอง" ที่ว่านี้ก็คือผีชนิดหนึ่ง ที่ออกมาเที่ยวหลอกหลอนผู้คนด้วยรูปลักษณ์ของศพคนตายที่ถูกห่อด้วยผ้าลินินสีขาว ใบหน้าเขียวคล้ำเน่าเฟะ ดวงตาทั้งสองข้างลึกกลวงโบ๋ และจุดสังเกตที่จะทำให้เรามั่นใจได้ว่ามันคือโพคองแน่ ๆ ก็คือนอกจากมันจะถูกห่อด้วยผ้าขาวแล้ว ที่บริเวณศีรษะ ลำคอ และปลายเท้าของมัน จะมีเชือกมัดตราสังข์เอาไว้ที่จุดดังกล่าวอย่างแน่นหนา
แท้ที่จริงแล้วคำว่า "โพคอง" ในภาษาของชาวอินโดนีเซียหมายถึง ผ้าขาวที่ไว้ใช้สำหรับห่อศพของคนตาย ก่อนที่จะนำไปฝังในสุสานของชาวมุสลิม ส่วนพิธีกรรมการใช้เชือกมัดไปตามจุดทั้งสามของศพนั้น ก็เพื่อไม่ให้วิญญาณของผู้ตายออกจากร่างไปไหนก่อนที่จะถึงเวลา โดยพิธีกรรมนี้มันก็มาจากความเชื่อกันว่า หลังจากที่คนเราได้เสียชีวิตไปแล้ว วิญญาณของพวกเขาก็จะสามารถอยู่บนโลกมนุษย์ต่อได้อีก 40 วัน เมื่อครบกำหนดแล้วถ้าเชือกที่มัดไว้คลายตัวออก วิญญาณก็จะสามารถออกเดินทางไปยังโลกหน้าได้นั่นเอง
เพียงแต่ว่าถ้าครบ 40 วันแล้ว เชือกที่มัดไว้บริเวณศีรษะของผู้ตายไม่คลายออกมาล่ะก็ ศพนั้นก็จะกลายเป็นผีโพคอง กระโดดขึ้นมาจากหลุมฝังศพ และออกอาละวาดเที่ยวหลอกหลอนผู้คนที่เดินไปมาในเวลาค่ำคืน สาเหตุที่ผีโพคองมันต้องกระโดดไปมานั้นมันก็เป็นเพราะว่า เชือกที่ถูกมัดอยู่บริเวณปลายเท้านั้น ทำให้มันไม่สามารถเดินได้อย่างปกติ มันเลยต้องใช้วิธีการกระโดดแทนการเดินนั่นเอง โดยการกระโดดแต่ละครั้ง มันจะสามารถเดินทางได้ไกลมากกว่า 40 เมตรเลยทีเดียว นั่นก็หมายความว่าถ้าเราเจอผีโพคองกระโดดตามหลังมา มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถหลบหนีจากการกระโดดตามของมันพ้น
พฤติกรรมของผีโพคองนั้น มันจะกระโดดไปมาตามถนนในแหล่งชุมชนยามค่ำคืน โดยมันจะคอยสอดส่องหาอะไรบางอย่างที่มันเชื่อว่า สิ่งนั้นจะสามารถช่วยเหลือมันให้พ้นจากสภาพอันน่าทุกขเวทนานี้ได้ นั่นก็คือ “ใครสักคน” ที่มีความกล้ามากพอ ที่จะช่วยเหลือปลดปล่อยวิญญาณของมันให้พ้นจากพันธนาการนั้นได้
เพียงแต่ว่าจะมีสักกี่คนที่จะสามารถตั้งสติไม่หวาดกลัวไปกับสภาพอันเน่าเฟะ และกลิ่นสาบสางอันรุนแรง ที่เกิดจากการย่อยสลายร่างกายหลังความตายของพวกมัน เพราะส่วนใหญ่ผู้คนที่ได้พบเจอกับมัน ก็ล้วนตัดสินใจวิ่งหนีกันจนป่าราบ เพราะกลัวว่ามันจะตามมาทำร้ายหรือไม่ก็หัวใจวายตายไปเสียก่อน นั่นก็เพราะหลังจากที่ผีโพคองเจอกับใครสักคนเข้า มันก็จะรอจังหวะเหมาะ ๆ จากนั้นมันก็จะกระโดดตามหลังเหยื่อผู้โชคร้ายคนนั้นไปเรื่อย ๆ โดยมันจะกระโดดตามไปจนกว่าเราจะรู้ตัว และเมื่อเรารู้ตัวแล้วว่าตอนนี้มีผีโพคองกำลังกระโดดตามมาล่ะก็...อะไรจะเกิดขึ้น?
มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่ง ที่จะสามารถบรรยายความรู้สึกของการถูกผีโพคองกระโดดตามหลังได้อย่างชัดเจน นั่นก็คือเรื่องราวของเด็กหญิงชาวอินโดนีเซียคนหนึ่ง ที่ปกติชีวิตประจำวันของเธอนั้น นอกจากการเรียนภาควิชาปกติในโรงเรียนแล้ว หลังเลิกเรียนเธอจะต้องเดินทางไปยังโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม เพื่อไปเรียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับศาสนา โดยเด็กหญิงคนนี้ก็ได้ใช้ชีวิตในรูปแบบนี้เป็นประจำทุกวัน เพียงแต่วันนี้เธอต้องพบกับประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่เธอจะไม่สามารถลืมมันไปได้ง่าย ๆ
เพราะในเส้นทางจากโรงเรียนไปยังศาสนสถานที่เธอจะต้องไปเรียนต่อนั้น มันจะต้องผ่านป่าเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่มีต้นไม้ใบไม้ปกคลุมไปทั่ว จนแสงอาทิตย์ยามเย็นไม่สามารถส่องลงมาถึงพื้นเบื้องล่าง และเธอก็เดินผ่านเส้นทางนี้เป็นประจำจนชิน จนไม่คิดว่ามันจะมีอะไรผิดปกติที่จะสามารถออกมาทำร้ายเธอได้
ในช่วงที่เธอเลิกเรียนวิชาศาสนาแล้ว เธอจึงเดินทางกลับบ้านด้วยการเดินย้อนกลับมายังเส้นทางเดิม ตอนนี้บรรยากาศมันก็เริ่มจะมืดแล้ว และเธอเองก็เดินทางเพียงลำพัง นั่นก็เพราะมีแค่เพียงตัวเธอเท่านั้นที่จะใช้เส้นทางนี้เดินกลับบ้าน ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเหมือนกับมีอะไรบางอย่าง กำลังกระโดดตามหลังเธอมาเป็นจังหวะ ยามเมื่อเธอลองก้าวเท้าให้ช้าลง เสียงกระโดดนั้นมันก็ค่อย ๆ เบาลงตาม และถ้าเธอลองเร่งฝีเท้าขึ้น เจ้าเสียงกระโดดนั้นก็จะเร่งถี่และดังขึ้น จนทำให้เธอเริ่มรู้สึกกังวลใจ ว่าบางสิ่งบางอย่างที่กำลังกระโดดตามหลังเธอมานั้น มันคืออะไรกันแน่!! จะหันหลังกลับไปมองตอนนี้ก็ไม่กล้า เพราะระยะทางจากตรงนี้มันก็ยังไกลจากบ้านค่อนข้างมาก นั่นจึงทำให้เธอต้องพยายามข่มใจ รีบเดินต่อไปโดยหวังว่า เดี๋ยวสักพักเสียงกระโดดนี้มันก็คงจะหายไปเอง แต่จนแล้วจนเล่า เสียงกระโดดนั้นมันก็ยังคงดังตามหลังเธอมาเรื่อย ๆ ราวกับว่ามันกำลังต้องการอะไรบางอย่างจากเธอ จนในที่สุดเธอก็เดินมาจนถึงจุดที่เธอมั่นใจว่า มันน่าจะเหลือระยะทางอีกเพียงนิดเดียว ก็จะได้กลับถึงบ้านกันแล้ว นั่นจึงทำให้เธอตัดสินใจหันหลังกลับไปมองดูสักครั้ง ว่าเจ้าสิ่งที่มันกำลังกระโดดตามเธอมานั้น มันคืออะไรกันแน่?
และสิ่งที่เธอได้เห็นกับสองตาเธอนั้นก็คือ ร่างของเด็กน้อยคนหนึ่งถูกพันด้วยผ้าขาว และมีเชือกมัดอยู่ที่บริเวณปลายผ้าเหนือศีรษะ ลำคอ และปลายเท้าเมื่อเห็นดังนั้น เด็กน้อยไม่ต้องคิดคำนวนอะไรให้มากมายอีกต่อไป เธอตัดสินใจออกตัววิ่งหนีอย่างสุดชีวิต เพื่อที่จะทำยังไงก็ได้ให้เธอสามารถหลุดพ้นจากผีเด็กตัวนี้ แต่ยิ่งวิ่งไปเท่าไหร่ ความหวังที่จะหนีให้พ้นของเธอ มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นเลย เพราะเสียงกระโดดของมันยังคงไล่ตามหลังเธออยู่ตลอดเวลา แต่ถึงจะสิ้นหวังอย่างไรก็ตาม เด็กหญิงก็ต้องหนีต่อไป เธอพยายามวิ่งออกไปนอกเส้นทางบ้าง หลบซ้ายหลบขวาให้ผีกระโดดตามมาไม่ทันบ้าง วิ่งกระโดดข้ามลำธาร ทะลุเข้าพงไม้รก ๆ แล้ววิ่งหน้าตั้งต่อไป จนในที่สุดเธอก็สามารถวิ่งมาถึงหน้าบ้านตัวเองได้
อย่างที่ไม่เคยใช้เวลาครั้งไหนนานเท่าครั้งนี้มาก่อน ตอนนี้เสียงกระโดดของมันก็หายไปแล้ว เด็กหญิงจึงรีบวิ่งเข้าบ้าน ล้างเท้า เสร็จแล้วก็รีบอาบน้ำและเข้านอนทันที
พอถึงรุ่งเช้า เด็กหญิงจึงตัดสินใจเล่าเรื่องนี้ให้กับคุณแม่ของเธอฟัง และเมื่อคุณแม่ได้ฟังประสบการณ์ของลูกสาว ที่ได้พบเจอมาในช่วงเดินทางเมื่อคืนจนจบ คุณแม่จึงบอกกับเธอว่า เจ้าผีที่กระโดดตามหลังเธอมาตลอดทางนั้นก็คือ ผีโพคองนั่นเอง และได้บอกกับเด็กหญิงอีกว่า จริง ๆ แล้วมันก็มีคำบอกเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่เอาไว้ว่า ถ้าหากเราได้เจอกับผีโพค็องแล้วล่ะก็ เราต้องพยายามสลัดความกลัวออกไปให้ได้ จากนั้นเราก็ต้องเข้าไปกอดศพของมัน แล้วเราต้องพยายามแก้มัดเชือกที่มัดอยู่บริเวณปลายผ้าห่อศพด้านบนศีรษะออกให้ได้ ซึ่งถ้าเราทำได้สำเร็จ วิญญาณของผีโพคองตัวนั้นก็จะเป็นอิสระ สามารถไปสู่สุคติได้นั่นเอง
ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่า หลังจากนั้นมาเด็กหญิงคนนั้นจะได้พบกับผีโพคองอีกเป็นครั้งที่สองหรือไม่ และเราก็ไม่ทราบเช่นกันว่า เด็กหญิงคนนั้นจะสามารถปลดปล่อยวิญญาณของผีโพคองได้สำเร็จหรือเปล่า ซึ่งถ้าเป็นเรา อันนี้ก็คงต้องแล้วแต่ว่าใครจะสามารถทำใจ ช่วยเหลือปลดปล่อยวิญญาณของมันกันได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง
และถ้าหากเราโชคดี ได้เจอกับผีโพคองมากระโดดตามหลังเราแบบเด็กหญิงคนนี้ ก็มีคนแนะนำวิธีที่จะสามารถหลุดรอดจากการกระโดดตามของมันไว้สองวิธี วิธีแรกก็คือ ให้เรารีบนอนหมอบแกล้งตาย ส่วนอีกวิธีก็คือ วิ่งป่าราบไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวมันก็จะเลิกตามเราไปเอง ซึ่งมันก็แล้วแต่ว่าท่านผู้ชมอยากใช้วิธีไหน ส่วนผู้บรรยายนั้น เลือกขอไม่เดินออกไปไหนในยามค่ำคืนจะดีกว่า เพราะเรื่องแบบนี้ตัวใครตัวมันจริง ๆ
ผีโพคองนั้น ถือเป็นตำนานเกี่ยวกับภูตผีวิญญาณ ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในประเทศอินโดนีเซีย โดยมันได้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนต์สยองขวัญ ออกฉายตามสถานีโทรทัศน์ตลอดมา และก็มีผู้คนมากมายส่งคลิปการพบเจอผีโพคอง ส่งเข้าไปในรายการโทรทัศน์แนวผี ๆ ของประเทศอินโดนีเซียกันมากมาย จนในที่สุดโพคองก็ได้กลายเป็นภาพยนต์ออกฉายไปตามโรงภาพยนต์ทั่วประเทศในปี ค.ศ. 2006 ในชื่อเรื่อง "
โพคอง" กำกับการแสดงโดย รูดี้ โซดจาร์โว
โพคอง" กำกับการแสดงโดย รูดี้ โซดจาร์โว