บทความที่ได้รับความนิยม

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2558

โมอายแห่งเกาะอีสเตอร์ ( Moai Easter Island ) รูปปั้นลี้ลับมาได้ยังไง

โมอายแห่งเกาะอีสเตอร์
( Moai Easter Island ) รูปปั้นลี้ลับมาได้ยังไง
โมอายแห่งเกาะอีสเตอร์ ( Moai Easter Island )
โมอายแห่ง ราโน ราราคู
เกาะอีสเตอร์ เป็นชื่อของเกาะที่คนจำนวนมากน่าจะเคยได้ยินเรื่องราวของมันผ่านหูมาบ้าง และก็คาดว่าคนเหล่านี้คงจะยังคงสงสัยถึงความลึกลับของชื่อประหลาดๆแห่งนี้กันบ้างละ ว่ามันคืออะไรกันแน่ นอกเหนือจากนี้ยังมีรูปสลักหน้าใหญ่อันแสนลึกลับที่วางเรียงรายกันเป็นแถวบนแถบชายหาด ที่คนส่วนใหญ่ขนานนามกันว่า ” โมอาย ” อีกด้วย
  
แผนที่บนเกาะอีสเตอร์
สถานที่ตั้งของเกาะอีสเตอร์ อยู่ห่างจากแหล่งชุมชนตาฮิติและชิลีราว 2,000 ไมล์ หากพิจารณาในแผนที่โลกก็จะพบว่า เกาะอีสเตอร์เป็นเพียงเกาะเล็กๆที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางมหาสมุทร  ส่วนสิ่งปลูกสร้างที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ก็คือ แท่งหินขนาดยักษ์ที่แกะสลักเป็นรูปหน้าคน หรือที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อว่า ‘โมอาย’ แต่เมื่อย้อนความไปในอดีต กลับพบว่าเดิมทีเกาะนี้ไม่ได้ชื่ออีสเตอร์หรอก แต่มีชื่อพื้นเมืองว่า ” Te Pito O Te Henua ” ที่หมายถึง สะดือของโลก (Navel of The World) ต่างหาก  แต่หลังจากที่เกาะแห่งนี้ถูกค้นพบโดยชาวตะวันตกที่มาขึ้นฝั่งด้วยเรือที่นี่เมื่อปี 1722 ซึ่งวันนั้นตรงกับวันอีสเตอร์พอดี เกาะแห่งนี้จึงเปลี่ยนชื่อเป็น เกาะอีสเตอร์ นั่นเอง
โมอาย ( เป็นหินรูปปั้นที่มีรูปร่างคล้ายคน โดยรูปปั้นนี้จะมีส่วนศีรษะที่ใหญ่ชัดเจน โมอายที่พบบนเกาะนี้มีมากกว่า 600 ตัว และกระจัดกระจายอยู่ทั่วเกาะอีสเตอร์ ภายในอุทยานแห่งชาติลาปานุย ประเทศชิลี จากการสำรวจ พบว่าโมอายเกือบทั้งหมดถูกแกะสลักมาจากหินก้อนเดียวกัน แต่อาจมีบางตัวจะมีลักษณะที่ต่างออกไปเล็กน้อย กล่าวคือมี Pukau หรือหมวกวางอยู่บนศีรษะ โมอายเกือบทุกก้อนผลิตมาจากเหมืองหินที่ราโน ราราคู (Rano Raraku) ซึ่งที่นั่นเป็นสถานที่แกะสลักโมอาย และพบว่ายังมีโมอายกว่า 400 ตัว ทั้ยังอยู่ในกระบวนการแกะสลัก
การค้นพบรูปปั้นที่ยังอยู่ในระหว่างการแกะสลักนี้ ทำให้มีข้อสันนิษฐานว่า เหมืองหินที่สร้างโมอายขึ้นมาน่าจะถูกทิ้งร้างไปแบบกระทันหัน และพบว่าโมอายเกือบทั้งหมดอยู่ในสภาพล้มนอน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นฝีมือชาวพื้นเมืองบนเกาะที่จับให้มันล้มลง
เมื่อพิจารณาลักษณะโดยละเอียดของโมอาย จะพบว่า โมอายจะประกอบไปด้วยส่วนหัวขนาดใหญ่ แต่ก็มีโมอายบางตัวที่มีส่วนประกอบของหัวไหล่ แขน และลำตัว ด้วย อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบถึงความหมายและวัตถุประสงค์ของการสร้างโมอายอย่างชัดเจน ทุกอย่างยังคงมีเพียงข้อสันนิษฐานที่แตกต่างกันไปต่างๆนานา แต่พบว่าข้อสันนิษฐานที่นิยมมากที่สุด ก็คือ รูปปั้นโมอายเหล่านี้ถูกสร้างโดยพวกโพลิเนเชียน (Polynesian) ที่อาศัยอยู่บนเกาะนี้มานานกว่า 1,000 ปีมาแล้ว ทั้งนี้ ที่เชื่อว่าพวกโพลิเนเชียนสร้างโมอายนี้ขึ้นเพื่อ ก็น่าจะมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นตัวแทนถึงบรรพบุรุษผู้ล่วงลับไปแล้ว หรือเป็นบุคคลผู้มีความสำคัญ ณ ยุคสมัยนั้น หรือบางครั้งก็เชื่อกันว่าอาจจะเป็นสัญลักษณ์แสดงสถานะของแต่ละครอบครัวจะพบได้ว่าการสร้างโมอาย ที่มีขนาดสูงประมาณ 3.5 เมตร และหนักถึง 20 ตัน นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ต้องลงทุนลงแรง และใช้เวลานานหลายปีจึงจะสร้างสำเร็จ อีกทั้ง ยังต้องเคลื่อนย้ายรูปปั้นที่สร้างเสร็จแล้วไปยังบริเวณที่ต้องการอีกด้วย ปัจจุบัน การขนย้ายโมอายที่หนักและใหญ่เช่นนี้ ยังคงเป็นความลับที่ยังไม่ทราบที่มาอย่างแน่ชัด
แม้ว่าจะมีนักวิชาการหลายคนพยายามขุดค้นเพื่อตำนานของชาวเกาะเพื่อสืบหาความเป็นมาเป็นไปของโมอาย แต่ก็ไม่พบความคืบหน้าสักเท่าไรนัก เมื่อนำคำถามนี้ไปถามชาวเกาะวัชราที่ยังคงมีความทรงจำเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเกาะ ก็กลับได้รับคำตอบอย่างน่าแปลกใจว่า “มันเดินกันลงมาเอง” !? เพราะคงไม่มีใครเชื่อว่ารูปสลักขนาดใหญ่มหึมาขนาดนี้ จะถูกชาวบ้านใช้แรงงานลากขนย้ายลงมาด้วยตนเอง และไม่เพียงแต่วิธีการขนย้ายเท่านั้นที่ยังเป็นปริศนา  แต่การแกะสลักของชาวโพลิเนเชี่ยนที่สร้างโมอายขึ้นมานี้ ก็ยังไม่ได้รับคำตอบชัดเจนว่าพวกเขาใช้เครื่องมืออะไรในการสรรค์สร้าง
มันขึ้นมา
โมอายผู้พิทักษ์หมู่เกาะมีตำนานของเกาะอีสเตอร์บอกเล่ากันมาว่า หัวหน้าเผ่าหมู่หนึ่งได้พยายามซึ่งสืบเสาะหาทำเลที่ตั้งบ้านหลังใหม่ และในที่สุดเขาก็ได้เลือกหมู่เกาะอีสเตอร์เป็นแหล่งพักพิง หลังจากที่หัวหน้าเผ่าสิ้นใจตายไปแล้ว เกาะแห่งนี้ก็ได้ถูกแบ่งสมบัติให้แก่บรรดาเหล่าลูกชายของเขา และมีการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าเผ่าใหม่ และเมื่อหัวหน้าเผ่าคนใดเสียชีวิตลง ก็จะมีการนำโมอายไปตั้งเป็นสัญลักษณ์ไว้ประจำ ณ สุสาน ด้วยเหตุนี้ ชาวเกาะทั้งหลายจึงเชื่อว่า รูปปั้นโมอายจะคอยพิทักษ์รักษาจิตวิญญาณของหัวหน้าเผ่าที่เสียชีวิตไปแล้วเอาไว้ และจะช่วยนำเอาสิ่งดีๆ เช่น ฝนตกตามฤดูกาล พืชพรรณธัญญาหารสมบูรณ์ เป็นต้น กลับมาสู่เกาะอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ตำนานที่เล่ากันมานี้อาจมีการบิดเบือนไปจากความจริงได้บ้าง เนื่องจากเป็นการเล่าที่สืบต่อกันมาเป็นระยะเวลายาวนานมากแล้วการไขปริศนาของโมอายที่แท้จริงจาก UBC ช่อง 

เป็นที่สรุปออกมาแล้วว่า โมอายกว่า 900 ตัว ที่ถูกค้นพบบนเกาะอีสเตอร์ เป็นฝีมือการประดิษฐ์ของมนุษย์ชาวโพลิเนเชียนนั่นเองเอง เนื่องจากหลักฐานระบุว่า ที่บนเกาะแห่งนั้นมีเหมืองหินขนาดใหญ่อยู่แล้ว การแกะสลักโมอายทั้งหมดจึงใช้วัตถุดิบจากหินภูเขาไฟซึ่งมีความแข็งและคมกว่าหินภายในเหมืองหิน มาเป็นเครื่องมือในการแกะสลันั่นเอง
เหตุใดอารยธรรมของพวกเขาเหล่านี้จึงสาปสูญไป 
เหตุผลที่อารยธรรมของพวกเขาเหล่านี้สาปสูญไป ก็เป็นเพราะพวกเขาได้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่บนเกาะจนหมดสิ้นไปแล้ว จากเดิมเป็นเกาะแห่งนี้เคยอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้ที่คอยกำบังแดดร้อนให้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป  เมื่อมรัพยากรสิ้นสุดลง ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องไปหลบแดดอยู่ภายในถ้ำ นอกจากนี้ นักประวัติศาสตร์ยังพบอีกด้วยว่า บนเกาะแห่งนี้ได้เกิดสงครามเพื่อแย่งชิงอำนาจการปกครองบนเกาะกัน รวมไปถึงมีการใช้สิทธิขาดในการใช้ทรัพยากร ย่างไรก็ตาม พวกเขาก็พยายามหาทางแก้ไขความขัดแย้งครั้งนี้ โดยการจัดการแข่งขัน ‘มนุษย์นกขึ้น’ (Birdman) ซึ่งการแข่งขันแบบสุดหฤโหดนี้จะคัดเลือกตัวแทนของแต่ละเผ่าที่เก่งที่สุดออกมา และจะมาวิ่งแข่งลงจากหน้าผาที่สูงชันถึง 1000 ฟุต ต่อด้วยการว่ายน้ำฝ่าฝูงฉลามไปยังเกาะนกนางนวล จากนั้น ผู้เข้าแข่งขันจะต้องเลือกหยิบไข่นกนางนวลกลับมา ก่อนจะว่ายน้ำกลับมาเพื่อนำไข่ไปให้แก่ผู้นำของตนเอง หากเผ่าใดสามารถชนะการแข่งขันครั้งนี้ได้ หัวหน้าเผ่าเหล่านั้นก็จะเป็นผู้นำที่สามารถใช้สิทธิอันเด็ดขาด และมีอำนาจสูงสุดในการปกครองเกาะแห่งนี้ไปอีก 1 ปี พอครบปี ก็จะมีการคัดเลือกผู้นำเกาะคนใหม่ขึ้นมาแทน
เหตุผลที่โมอายได้รับคัดเลือกเป็นมรดกโลก
เมื่อปี พ.ศ. 2533 โมอายได้ถูกรับเลือกให้เป็นมรดกโลก ด้วยเหตุผลสำคัญดังนี้ ได้แก่
1. โมอายถือเป็นตัวแทนผลงานชิ้นเอกที่ถูกสร้างขึ้นจากการสร้างสรรค์อันแสนชาญฉลาด
2. โมอายเป็นหลักฐานทางวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ยังคงปรากฏให้คนทั่วโลกได้เห็นและสัมผัสตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
3. โมอายเป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของวัฒนธรรมมนุษย์ รวมไปถึงขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งสถาปัตยกรรม อันบ่งบอกถึงกรรมวิธีการก่อสร้าง หรือการลงหลักปักฐานของมนุษย์ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เสื่อมสลายได้ง่ายจากการเปลี่ยนแปลงของสังคมและวัฒนธรรมตามช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ถือเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ใช้เรียนรู้เพื่ออนาคตได้เป็นอย่างดี

รายการบล็อกของฉัน

 hellomanman  happy-topay  invite-buying
 men-women-apparel diarylovemanman news-the-world
 homemanman alovemanman
 menmen-love
 ghost-in-manman  U.F.O.manman fishmanman
foodmanman  flowermanman herbs-in-manman
devilmanman herbs-in-manman manman clip