Vampires
แวม ไพร์ เป็นผีดิบ ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่มีฟันแหลมคม ดื่มเลือดของมนุษย์เพื่อความเป็นอมตะ จะปรากฏตัวได้แต่เฉพาะเวลากลางคืน เพราะกลางวันแพ้และกลัวกระเทียม
เรื่อง ราวของแวมไพร์ มีมากมาย
เรื่อง ราวของแวมไพร์ มีมากมาย
ที่เป็นนิทานพื้นบ้านและวรรณกรรม และมีนอกจากนี้ยังมีกรณีที่เกิดขึ้นจริงอีกด้วย โดยกรณีที่โด่งดังคือกรณีของชายที่ชื่อ อาร์โนลด์ โพส
(Arnold Paole) หนุ่มร่างกำยำล่ำสันซึ่งเป็นทหารที่เข้าประจำหมู่บ้านที่หลายคนเชื่อว่าเขา เป็นแวมไพร์ โดยเรื่องราวเกิดขึ้นที่หมู่บ้านเมดูเอ็นยาหมู่บ้านแถบกอสโซวา (เตอร์กิชเซอร์เบีย) โดยตำนานเล่าว่า เขาถูกทำร้ายโดยผีดูดเลือดระหว่างทาง เมื่ออาร์โนลด์ถูกผีดูดเลือดกัดคอหอยจนบาดเจ็บ เขารู้สึกเจ็บแค้นผีดูดเลือดตัวนั้น จึงหาวิธีกำจัด
โดยเดินทางยังสุสานที่ฝังศพผีดูดเลือดและทำพิธีแก้อาถรรพณ์ โดยขุดศพผีดูดเลือดขึ้นมา เจาะเลือดของมันชโลมกาย และกินดินหลุมศพของมันเข้าไปแต่ผลสุดท้ายนายอาร์โนลด์ก็ไม่พ้นความตายได้ เมื่อวันหนึ่งเขาได้ขับเกวียนเข้าไปในไร่ แล้วเกิดอุบัติเหตุพลัดตกจากเกวียน ศีรษะพาดพื้นอย่างแรงตายคา เขาตายเมื่อปี 1726
แล้วยกโขยงไปในสุสานประจำหมู่บ้านจัดแจงขุดศพอาร์โนลด์เพื่อขึ้นมาพิสูจน์ ความจริงครั้นแล้วทุกคนต้องผงะ และตกใจกลัวกับภาพทีอยู่ตรงหน้าเมื่อซากศพอาร์โนลด์ยังเปล่งปลั่งด้วยเลือด ฝาด ที่มุมปากมีเขี้ยวยาวแหลมคมงอกออกมาด้วย และมีเลือดที่ปากไหลเป็นทางยาวและเมื่อแสงแดดจัดจ้าส่องเข้ามาในโลงศพ อาร์โนลด์เบิกตากว้างรีบพลิกตัวหลบแดดทันที ชาวบ้านก็ไม่รอช้า ต่างเฮโลขุดศพผู้ตกเป็นเหยื่อผีดูดเลือดอีกสี่ศพมาด้วยแล้วช่วยกันเอาไม้ เสี้ยนปักอก ใช้ค้อนตอกจนมิด เลือดสดๆ ทะลึกออกมากลิ่นเหม็นคาวคลุ้งไปทั่ว
ผีดิบทั้งห้าบิดกายอย่างเจ็บปวด ส่งเสียงอืออาในลำคอก่อนที่สงบนิ่งไปเมื่อผีดูดเลือดสงบ ชาวบ้านก็ตัดหัวเอากระเทียมยัดปาก และเผาศพจนมอดไหม้เป็นขี้เถ้าแต่เรื่องนี้ยังไม่จบ อีกหกปีต่อมาหมู่บ้านเมดูเอ็นยาก็ประสบกับเหตุการณ์สยดสยองอีกครั้ง เมื่อมีชาวบ้าน 13 คนตายในระหว่าง 6 สัปดาห์ โดยปราศจากสาเหตุ
เมื่อทางการทราบข่าวจึงส่งเจ้าหน้าที่ไปสำรวจข้อเท็จจริงเหล่านี้ร่วมกับชาว บ้านผลสรุปว่า ผีดูดเลือดอาร์โนลด์นอกเหนือจากล่าคนแล้วยังจับสัตว์มาดูดเลือดอีกด้วย และทิ้งซากเอาไว้ และเมื่อชาวบ้านพบซากสัตว์ดังกล่าวจึงนำไปทำอาหาร และได้รับเชื้อมาโดยไม่รู้ตัว จนกลายเป็นผีดูดเลือด แพร่เชื้อออกไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จบนั่นเอง