ทำความรู้จัก ‘โรคอุปาทาน’ อาการสุดประหลาดที่อาจก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตโดยไม่มีสาเหตุ
ค้นหา
ค้นหา
Custom Search
โรคภัยไข้เจ็บกับมนุษย์นั้นถือว่าเป็นของคู่กัน ซึ่งสาเหตุของการทำให้เกิดโรคต่างๆ นั้น ส่วนใหญ่แล้วล้วนมาจากเชื้อโรคต่างๆ แต่ทว่ายังมีสิ่งลึกลับที่สามารถทำอันตรายหรือคร่าชีวิตมนุษย์ได้ครั้งละมากๆ ด้วยโรคลึกลับที่เกิดจากจิตใจ ซึ่งอาการนี้มีชื่อว่า “โรคอุปาทาน”
โรคอุปาทานนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งแบบเดี่ยวและแบบหมู่
ซึ่งในประวัติศาสตร์นั้นมีบันทึกเกี่ยวกับอาการนี้ไว้หลายอาการ เช่น ในปี 1911 หญิงสาวนามว่า Marjory Quick ได้เกิดเบื่อโลกขึ้นมาจากปัญหาส่วนตัว จึงตั้งใจที่จะปลิดชีพตัวเองด้วยการดื่ม “พาราฟิน” ของเหลวชนิดเดียวกับที่ใช้ทำเทียนไขเข้าไป ซึ่งไม่นานหลังจากที่ดื่มพาราฟินเข้าไปเธอก็ล้มลงและอาเจียนเอาสิ่งที่ดื่มออกมา
แต่ทว่าการช่วยเหลือไม่ทันการทำให้เธอเสียชีวิตหลังจากอาเจียนออกไม่กี่นาที เมื่อทำการส่งศพไปชันสูตรตามขั้นตอนของกฎหมาย บรรดาแพทย์ที่ชันสูตรรวมไปถึงครอบครัวของเธอก็ต้องพบกับความงงงวยเพราะว่าภายในช่องทางเดินอาหารนั้นไม่พบสารพาราฟินหรือสารแปลกปลอมใดๆ และยิ่งชันสูตรไปจุดอื่นๆ ก็ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ
ซึ่งจากการชันสูตรก็พบว่าเธอเสียชีวิตเนื่องจากหัวใจล้มเหลว และได้มีการนำแก้วที่หญิงสาวดื่มเข้าไปมาตรวจก็พบว่าภายในแก้วนั้นเป็นเพียงแค่น้ำเปล่าธรรมดาเพียงเท่านั้น
👉เหตุการณ์ต่อมาคราวนี้ไม่มีคนตาย แต่จำนวนผู้ที่ได้รับผลกระทบนั้นมีมากพอสมควร เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวิทยาลัยการแพทย์ฮาร์วาร์ด โดยในงานประชุมทางวิชาการมีการบรรยายเรื่องโรคอาหารเป็นพิษ แต่ในขณะการบรรยายกำลังดำเนินไปนั้นจู่ๆ ก็มีผู้ฟังคนหนึ่งอาเจียนออกมากลางห้องประชุม
และจากนั้นเพียงไม่กี่นาทีผู้ฟังภายในห้องทั้งสามสิบคนก็อาเจียนออกมาพร้อมๆ กัน และมีอาการไข้ขึ้นแบบเดียวกับโรคที่กำลังบรรยาย หลังจากการตรวจสอบก็พบว่าผู้ป่วยทั้ง 30 คนนั้นไม่มีใครเลยที่มีเชื้อต้นเหตุของโรค
👉เรื่องราวนี้ถูกขึ้นหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งอยู่เป็นสัปดาห์ ตำรวจต้องทำงานหนักเพื่อหาตัวมือมีดโรคจิตนี่มาให้ได้ แต่ทว่ากลับไม่พบเบาะแสใดๆ แถมเมื่อกลับไปสอบปากคำผู้เสียหายแต่ละคนก็ได้คำตอบที่ไม่เหมือนกับตอนแรกทุกคน ซึ่งหลังจากที่สืบไปสืบมา
ตำรวจก็พบว่าพวกเขาไล่ตามบุคคลในจินตนาการเท่านั้นเอง
เรื่องราวของโรคอุปาทานยังมีเกิดขึ้นแทบจะทุกประเทศ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นในแนวอุปาทานหมู่
ซะมากกว่า ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ให้คำจำกัดความมาสั้นๆ ว่า “ทั้งหมดจะเป็นการทำงานของสมองที่หลอกร่างกายว่าตัวเองเป็นในสิ่งที่เชื่อและได้เห็นจนแสดงออกมา”