👩‘เข็มขัดพรหมจรรย์’ อุปกรณ์ป้องกันการนอกใจในยุคโบราณ เพื่อให้รู้ว่าพื้นที่นี้มีเจ้าของ นะ
👉🏿อุปกรณ์ชนิดนี้ที่คนในสมัยโบราณสร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันมิให้สตรีหรือภรรยานอกใจหรือมีชู้มันเป็นอุปกรณที่เรียกว่า
♈‘เข็มขัดพรหมจรรย์’ อุปกรณ์ป้องกันการนอกใจในยุคโบราณ
👨💻ลองนึกสภาพดูนะครับถ้าสาวๆคนใดที่ใส่อุปกรณ์นี้รับรองเลยว่า เนื้อเนิน ... มันคงจะเสียดสีกับแผ่นเหล็ก อุปกรณ์เหล่านั้นจนเป็นร่องรอยถลอกปอกเปลือกุ พุพองแน่นอนครับมันไม่น่าจะมีความสุขเลยสำหรับใส่อุปกรณ์ชนิดนี้เดี๋ยวเรามาอ่านรายละเอียดกันเลยดีกว่าครับ
👉🏿ทุกวันนี้ หากอยากรู้ว่าแฟนของเราอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร สมาร์ตโฟนในมือสามารถส่งโลเคชั่น หรือส่งรูปให้กัน เพื่อเพิ่มความไว้เนื้อเชื่อใจได้ แต่สมัยก่อนล่ะ ที่เรายังไม่มีเทคโนโลยีการสื่อสารที่คล่องตัวขนาดนี้ หากต้องออกไปไหนไกลๆ จากกันไปหลายวัน
เราจะแน่ใจได้อย่างไรกันว่าจะไม่มีใครหน้าไหนมาลอบตีท้ายครัว เราเลยได้เห็นอุปกรณ์หน้าตาคุ้นเคยอย่าง ‘เข็มขัดพรหมจรรย์’ รูปทรงเดียวกับชุดชั้นใน แต่มันกลับไม่ได้ทำมาจากผ้าที่สวมใส่สบาย มันกลับทำจากโลหะ
😁ก่อนจะไปทำความรู้จักสิ่งนี้ อยากให้เข้าใจบริบทในสังคมสมัยนั้น ว่าอาจยังไม่ได้มีความก้าวหน้าจากทั้งเทคโนโลยีและความก้าวหน้าทางความคิดเท่าสมัยนี้ เจออะไรไม่เข้าทีก็อย่าเพิ่งเอาไว้บรรทัดของยุคนี้ไปทาบให้ตรงดั่งใจ เพราะสมัยก่อนนั้น สาวๆ ในหลายประเทศ หลายวัฒนธรรม มักจะไม่ได้เจอชายหนุ่มกันง่ายๆ
👉🏿👩โดยเฉพาะสาวที่ยังไม่แต่งงานเนี่ย จะมาพบปะหนุ่มๆ เป็นการส่วนตัวก็ดูไม่งาม ออกไปแฮงก์เอาต์เหมือนหนุ่มๆ ก็ไม่ได้ สิ่งที่ทำในแต่ละวันล้วนเป็นการอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน หรือแม้แต่หญิงสาวที่แต่งงานแล้วก็ตาม จะไปพบชายอื่นนอกจากสามีเพียงลำพัง ก็ดูไม่งามเช่นกัน
🧔🏻🌹👩การพบเจอกันระหว่างชายหญิงจึงเป็นเรื่องยาก หากชายไม่ใช่สามีที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือตามประเพณีแล้ว ก็ไม่รู้จะหาโอกาสไหนเจอกันได้ แม้บริบทสังคมในตอนนั้น จะชวนให้สาวๆ รู้สึกถูกจำกัดขอบเขตการใช้ชีวิตมากอยู่แล้ว แต่ที่มากไปกว่านั้น พวกเธอโดนจำกัดแม้แต่พื้นที่ส่วนตัว
👙ใช่แล้ว อวัยวะเพศนั่นแหละ ด้วยอุปกรณที่เรียกว่า ‘เข็มขัดพรหมจรรย์’ เจ้าอุปกรณ์ชิ้นนี้ หน้าตาเหมือนกางเกงในที่เราเข้าใจในยุคปัจจุบันไม่มีผิด แต่มันกลับทำมาจากโลหะ โอบรัดเอวเอาไว้ แต่ปกปิดนาผืนน้อยอย่างมิดชิด มีแค่ช่องเล็กๆ ให้ทำธุระส่วนตัวเท่านั้น และที่สำคัญ เข็มขัดนี้มีแม่กุณแจล็อกอยู่ หากจะปลดมันออก ต้องใช้ลูกกุญแจเท่านั้น ไม่สามารถเปิดด้วยวิธีอื่นได้เลย
👉🏿ถามว่าเข็มขัดนี้มีไว้ทำไม? ในสมัยก่อน ยามที่ต้องห่างไกลกัน เราไม่สามารถส่งข้อความถามได้ว่าภรรยาของเรากำลังทำอะไรอยู่ มีชายใดมาเกี้ยวพาราสีบ้างหรือเปล่า เข็มขัดพรหมจรรย์จึงมาเป็นอุปกรณ์ที่ทำให้สามีมั่นใจว่า ภรรยาของเขาจะไม่สามารถแอบไปร่วมเพศกับชายใดอย่างลับๆ ได้ รวมถึงไม่สามารถถูกบังคับขืนใจให้ร่วมเพศจากคนที่บุกเข้ามาเพราะรู้ว่าเธออยู่เพียงลำพังด้วย หน้าที่ของมันจึงเหมือนรักษาพื้นที่ส่วนนั้นไว้ให้สามีเพียงผู้เดียว เพราะสามีจะเป็นผู้ถือกุญแจที่ล็อกเข็มขัดนั้นอยู่ และกุญแจนั้นมีเพียงดอกเดียวเท่านั้น
👩👉🏿🧔🏻แม้จะบอกว่าสามีมีอยู่ดอกเดียว แต่ภาพนี้จาก British Museum ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า สามีน่ะมีกุญแจดอกเดียวจริงๆ แต่ภรรยาเองน่าจะมีสำรองไว้หลายดอก จึงมีหนุ่มๆ มาถือกุญแจยืนรอในเงามืด โดยภาพนี้ถูกระบุว่าพิมพ์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 แต่งานวิจัยในหัวข้อ ‘Male fear’ ของ Albrecht Classen ศาสตราจารย์ด้านเยอรมันศึกษา จาก University of Arizona พูดถึงเจ้าเข็มขัดนี้ว่า ในช่วงศตวรรษที่ 15 นั้น เข็มขัดนี้ยังไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายอย่างที่คิด ในฐานะอุปกรณ์ป้องกันการมีเซ็กซ์ แต่เป็นช่วงหลังจากนั้นต่างหาก ที่ผู้คนเริ่มรู้จักและใช้อุปกรณ์นี้
😬แม้มันจะเกิดขึ้นในช่วงหลายร้อยปีก่อน แต่มันกลับไม่ได้แพร่หลายในยุคนั้นอย่างที่คิด เพราะมันช่างมีหลักฐานที่เกี่ยวกับเข็มขัดนี้ไม่มากเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังพอมีวัตถุเป็นชิ้นเป็นอันให้เราได้เห็นในพิพิธภัณฑ์บ้าง เลยอาจอนุมานได้ว่ามันมีอยู่จริงๆ นั่นแหละ แต่ว่าคงไม่เป็นที่นิยมขนาดนั้น อาจด้วยการจำกัดเสรีภาพที่มากเกินไป รวมไปถึงความไม่สบายตัวจากการสวมใส่ ที่คงไม่มีใครอยากจะสวมมันไว้บ่อยนักหรอก
👀แต่สิ่งนี้มันกลับมาบูมในช่วงศตวรรษที่ 19 ที่ผู้คนเริ่มรู้จักเข็มขัด จนกลายเป็นแฟชั่นที่แม้แต่แม่ชีก็ยังนิยมสวมไว้ เพื่อบ่งบอกว่ายังบริสุทธิ์ผุดผ่อง รวมถึงผู้คนทั่วไปที่ถูกอกถูกใจในความแฟนตาซีของมัน มากกว่าจะใช้มันในเชิงกดขี่ทางเพศอย่างแต่ก่อนแล้ว มันจึงเป็นอุปกรณ์ที่เป็นภาพแทนของความแฟนตาซี อย่างการใช้ในกิจกรรมทางเพศของผู้มีรสนิยมแบบ BDSM แทนการนำมาใช้เพื่อล็อกพื้นที่หวงห้ามกันในชีวิตจริง
🖥️สาระข้อมูลเพิ่มเติม
เข็มขัดพรหมจรรย์ (อังกฤษ: chastity belt) เป็นชื่อเรียกเครื่องประแจโลหะสำหรับนุ่งห่ม ออกแบบขึ้นเพื่อขังบริเวณอวัยวะสืบพันธุ์ของผู้สวมไว้มิให้ถูกย่ำกราย มีความมุ่งประสงค์จะป้องกันผู้สวมมิให้ร่วมประเวณีหรือถูกชำเรา บางประเภทยังมีอุปกรณ์เสริมเพื่อกันมิให้ผู้สวมสำเร็จความใคร่ของตัวด้วย เข็มขัดนี้ใช้ได้กับทั้งชายและหญิง
🌅ภาพพิมพ์ไม้ในประเทศเยอรมนีสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 16 ซึ่งเสียดสีว่า อันที่จริงเข็มขัดพรหมจรรย์นั้นไม่ช่วยรักษาพรหมจรรย์ได้ดังชื่อ
👰 ภาพแสดงหญิงผู้อ่อนเยาว์นางหนึ่ง (กลาง) ถูกสามีเฒ่า (ซ้าย) จับสวมเข็ดขัดพรหมจรรย์ลงกุญแจแน่นหนา นางล้วงกระเป๋าสามีหยิบเงินส่งให้ชายชู้ (ขวา) ซึ่งถือลูกกุญแจมาให้ แล้วนางกล่าวขึ้นว่า
"ประแจใดก็ไร้ค่า ฤๅสามารถกันสตรี
มารยาบรรดามี อีกเล่ห์กลย่อมดลไป
ไม่รักคือไม่รัก สุดจะหักใจภักดิ์ได้
เงินทองผัวข้าไซร้ จึงใช้ซื้อลูกกุญแจ"
("Es hilft kain shloß für frauwen,
kain trew mag sein dar lieb nit ist.
Darumb ain slüssel, der mir gefelt.
Den wöl ich kauffen umb dein gelt.")
ตามเรื่องร่ำลือสมัยใหม่ ว่ากันว่า ในยุคสงครามครูเสด มีการใช้เข็มขัดพรหมจรรย์เพื่อป้องกันเหตุต่าง ๆ อันอาจเกิดขึ้นเพราะความใคร่ในกามคุณ เช่น เมื่ออัศวินไปราชการสงคราม ภริยาของเขาจะสวมเข็มขัดพรหมจรรย์เพื่อรักษาตนเองให้ซื่อตรงต่อสามี
กล่าวคือ เพื่อป้องกันมิให้ตนเองได้ร่วมเพศกับผู้ใดอันจะเป็นการนอกใจสามี อย่างไรก็ดี ไม่ปรากฏพยานหลักฐานอันชวนเชื่อว่า เข็ดขัดพรหมจรรย์เกิดขึ้นก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 15 นอกจากนี้ ยังปรากฏว่า มีการใช้เข็มขัดพรหมจรรย์กันเป็นที่ประจักษ์ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา มากกว่าจะเป็นสมัยมัชฌิมยุคที่เกิดสงครามครูเสดนั้น
อนึ่ง กล่าวกันว่า ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา เข็มขัดพรหมจรรย์ยังบุผ้านวมเป็นซับใน เพื่อป้องกันมิให้แผ่นเหล็กอันใหญ่โตนั้นถูกเนื้อต้องหนังผู้สวม แต่นวมเหล่านี้ต้องเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอ
ด้วยเหตุนี้ ในทางปฏิบัติแล้ว จึงไม่สมควรใช้เข็มขัดต่อเนื่องยาวนาน การใช้ต่อเนื่องยาวนานเช่นกล่าวนั้นก่อให้อวัยวะเพศถูกเสียดสีขัดถูจนกลายเป็นแผล ติดเชื้อ เกิดภาวะพิษเหตุติดเชื้อ และถึงตายได้
อ่านจนจบบทความแล้วนึกย้อนไปในอดีตน่าสงสารสาวๆหรือภรรยาที่มีสามีแล้วต้องมาใส่อุปกรณ์ชนิดนี้จังเลยนะครับถ้ากุญแจดอกเดียวหายไปแล้วจะทำยังไงล่ะคราวนี้อุปกรณ์ชนิดนี้คงจะติดตัวไปจนแก่ตายแน่เลยเออลำบากลำบน