บทความที่ได้รับความนิยม

วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2559

จิม โจนส์ศาสดาบ้า สังหารหมู่


จิม โจนส์ศาสดาบ้า สังหารหมู่
ศาสดา จิม โจนส์
จิมส์  วอเรน  โจนส์  หรือที่เรียกติดปากกันในหมู่สาวกชาวโจนส์นครว่า "ปาป้า" หรือ "แด้ด" แต่คนทั่วโลกรู้จักกันดีในนาม สาธุคุณจิม โจนส์ ผู้ตั้งลัทธิสังคมอุดมสุข "พีเพิลส์ เทมเปิ้ล (Peoples temple)"  ขึ้นมา  จนเกิดเป็นโศกนาฏกรรมในกาลต่อมา
นับแต่เหตุการณ์ 11 กันยา ท่านที่รักทราบไหมครับว่า ก่อนหน้านี้สถิติผู้เสียชีวิตอเมริกันที่ไม่เคยถูกลบเลยก็คือเหตุการณ์ฆ่าตัวตายหมู่เมื่อปี 1978 ตามบัญชาของศาสดาจิม โจนส์
ปฐมบทแห่งชีวิตของ จิมมี่น้อย หรือเด็กชาย เจมส์ วอเรน โจนส์ เริ่มขึ้นในครอบครัว แสนอบอุ่น แต่น่าเสียดายที่คุณพ่อของจิมนั้นเป็นสมาชิกสมาคมที่ดังสุดในยุคนั้นคือ "คู คลักซ์ แคลน (Ku Klux Klan)" ซึ่งถือพันธกิจของสมาคมว่าด้วยการดูแคลนเหยียดผิว ตั้งขึ้นโดยคนผิวขาวสำหรับพวกนิยมผิวขาวสุดโต่ง จะขาวแบบเกาหลี, ญี่ปุ่น หรือจีนก็ไม่ได้ ต้องขาวแบบฝรั่งอารยันเท่านั้น แต่แทนที่จะตามอย่างพ่อ ความโหดร้ายของคู คลักซ์ แคลน กลับทำให้จิมมี่น้อยเห็นอกเห็นใจเพื่อนร่วมโลกผิวสีเข้มมากขึ้น
ความคิดเหล่านี้ฝังหัวเขามาตั้งแต่เด็กจนโต บวกกับได้รับอิทธิพลจากลัทธิคอมมิวนิสต์ในเรื่องของความเท่าเทียม และเขายังเชื่อว่าเขาคือผู้ที่พระเจ้าได้เลือกสรรแล้ว จากนั้นด้วยความที่เป็นคนมีวาทศิลป์ใช้ลิ้นชักจูงคนได้เก่ง จึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นศาสนาจารย์ของโบสถ์ ต่อมาเมื่อเขามีสาวกที่มีแนวคิดเดียวกับเขาเยอะมากขึ้น เมื่อนั้นศาสนาจารย์หนุ่มจึงตั้งลัทธิใหม่ขึ้นมาเอง

โดยลัทธินี้มีชื่อว่า "Peoples temple" โดยคำว่า พีเพิลส์ เทมเปิ้ล นั้นแปลได้ว่า วิหารแห่งปวงชน ซึ่งลัทธินี้ถือว่ามนุษย์จะอยู่กันอย่างสงบสุขสันติได้ต้องมีระบอบการปกครองแบบเท่า เทียมกันและช่วยกันทำมาหากินเป็นนารวม ซึ่งดูไปแล้วก็คือลัทธิคอมมิวนิสต์ดีๆนี่เอง โดยที่ความเชื่อในหัวของจิมว่าสังคมอุดมสุขสุดๆนั้นคือสังคมแบบ "ยูโทเปีย (Eutopia)"สังคมยูโทเปียนั้น เป็นงานเขียนของท่าน เซอร์ โทมัส มอร์ ได้เขียนถึงสังคมในอุดมคติที่ทุกคนจะมีสุขอย่างแท้จริง เพราะมีความเท่าเทียมกัน ไม่มีใครรวยใครจน ไม่มีความอิจฉาริษยาเลื่อยขาเก้าอี้  ทุกคนรักกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ  ก็พอจะเรียกได้ว่าเป็นยุคพระศรีอาริย์แบบฝรั่ง

จิมจึงรวบรวมเงินบริจาคจากสาวกไปซื้อที่แปลงใหญ่ขนาดเมืองย่อมๆอยู่ไกลโพ้นถึงทวีปแอฟริกา  ในเมือง  "กูยาน่า (Guyana)" เดิมเป็นป่ารกชัฏ แต่จิมก็บัญชาให้บรรดาสาวกช่วยหักร้างถางพงจนมีที่ทางพอที่จะปลูกเป็นเมืองขนาดย่อมได้
เมื่อข่าวนี้ไปถึงหูของรัฐบาลอเมริกัน เจ้าหน้าที่ ฝ่ายปกครองกลับรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล จึงส่งตัวแทนจากสภาคองเกรสไป "เยี่ยม" โจนส์ทาวน์
โดยในการนี้ผู้ที่ถูกเลือกไปนั้นก็คือสมาชิกสภาคองเกรสนามว่า  ลีโอ  ไรอัน  ท่านได้รับการต้อนรับแสนอบอุ่นจากคณะของจิม ซึ่งได้พาไปดูการกินอยู่ของสาวกว่ากินดีอยู่ดีเพียงใด  เมื่อท่านได้ เห็นผู้คนดูสุขสมบูรณ์กันดีก็รู้สึกคลายใจหายห่วง
แต่สิ่งที่จิมพาชมนั้นคือการจัดฉากล้วนๆ แรงงานผู้คนในนารวมนั้นทำงานกันแสนจะเหนื่อยหนัก การกินอยู่ก็ถูกจำกัดจำเขี่ย จะได้กินมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับจิม ใครฝ่าฝืนก็จะโดนลงทัณฑ์อย่างแสนจะวิปริต เพราะด้านการเมืองการปกครองของโจนส์ทาวน์นั้น ใช้กฎหมายอยู่ประการเดียวคือ "กฎแห่งข้า" จิมคือรัฐและรัฐคือจิม

กฎนี้หยุมหยิมลงไปถึงกระทั่งให้ถือศีลพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัด ห้ามผู้คนแสดงความรักต่อกันแม้จะเป็นสามีภรรยากันก็ตาม เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากจิม ดังที่มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งถูกลงโทษในข้อหาแอบ รักกันฉันชู้สาว ทั้งที่คน
ทั้งสองแทบจะไม่เคยรู้จักมักจี่กันเลย เรื่องของเรื่องก็คือหนุ่มน้อยเป็นคนขายอาหารอยู่ในร้าน ส่วนสาวเจ้านั้นก็มาต่อคิวซื้ออาหาร และเมื่อถึงคิวให้ของจ่ายเงินกันเสร็จ เจ้าหนุ่มก็ส่งยิ้มให้แทนคำขอบคุณ ส่วนสาวเจ้าก็กล่าวลาเบาๆเท่านั้นแหละเป็นเรื่อง
มีคนเห็นเข้าแล้วคาบไปฟ้องท่านพ่อเมือง ซึ่งโจนส์ก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้ "เชือดไก่" ให้ ลิงสาวกทั้งหลายดู
จึงจัดให้มีการประชุมเมืองกันที่ จัตุรัสกลาง หนุ่มสาวทั้งสองคนจึงถูกเรียกขึ้นเวทีเพื่อประจานความผิด  โจนส์สั่งให้ทั้งสองเปลื้องผ้าจนเปลือยเปล่า ต่อหน้าสาวกหลายร้อย แล้วก็พูดจาถากถางอย่างวิปริตนานาประการจนพอใจ
จากนั้นหนุ่มสาวที่น่าสงสารก็ถูกปล่อยกลับไปให้เผชิญความอับอาย และต่อไปก็จะไม่มีใครกล้าพูดคุยกับสองคนนี้อีก

เตรียมการจะกลับ ปรากฏว่ามีสานุศิษย์ของจิมหลายรายแอบมาขอให้ช่วยพาออกจากโจนส์ทาวน์ ซึ่งท่านก็ได้จัดการพาคนที่อยากกลับประเทศไปด้วยถึง 15 ราย แต่จิมพยายามขัดขวางจนถึงที่สุด โดยในวันสุดท้ายที่ท่านจะกลับ สาวกเลือดร้อนนามว่านายดอน สไลน์ ได้ลุกขึ้นมากวัดแกว่งมีดหมายจะทำร้ายท่านลีโอในระยะประชิดจนต้องมีการกันตัวกันออกไป

ขบวนของท่านลีโอเดินทางถึงสนามบินไคตูมาอย่างทุลักทุเลเต็มที แต่เมื่อนั้นก็สายไปเสียแล้วจิมต่อโทรศัพท์สายตรงไปถึงสมุนให้เด็ดชีพผู้แทนสหรัฐฯจอมจุ้นท่านนี้เสีย ซึ่งขณะที่ท่านกำลังจะไปขึ้นเครื่องบิน เล็กที่เห็น อยู่ตรงหน้า มือสังหารก็ เหนี่ยวไกอย่างไม่ยั้ง ท่านวุฒิสมาชิกลีโอ ไรอัน ถึงแก่อนิจกรรมทันที ผู้ติดตามอันได้แก่นักข่าวจากเอ็นบีซี และสาวกผู้ทรยศลัทธิต่างเจ็บตายกันอีกมาก

แต่นักบินบนเครื่องนั้นได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดและได้กระจายข่าวเหตุการณ์ผ่านทางวิทยุการบิน โลกจึงได้รับรู้โศกนาฏกรรมที่จิมก่อขึ้น
ฝ่ายจิมหลังจากรับทราบว่าภารกิจเลือดได้สัมฤทธิผลแล้ว  ก็รู้ได้ทันทีว่าอีกไม่นานทางการก็จะต้องส่งกองกำลังมาปราบทุกอย่างให้สิ้นซาก เขาจึงตัดสินใจที่จะ "หนี"  จากโลกนี้!

เขาได้เตรียมการอย่างใหญ่โตที่สุด ซึ่งการนี้ได้เคยถูก  "ซ้อมใหญ่"  เอาไว้แล้วหลายต่อหลายครั้ง  นั่นคือการจัดให้สาวกทุกคนในนครโจนส์ทาวน์นี้ฆ่าตัวตายพร้อมกันทั้งหมด!

ในคืนมรณะนั้นโจนส์ได้ประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงให้สาวกทุกคน "เตรียม ตัว" ไว้สำหรับหายนะที่จะเกิดขึ้น เพราะมีผู้ที่ได้รับคำสั่งให้มาสังหารโหดชาววิหาร ประชาชนนี้เสีย โดยการ  "กระโดดร่มลง มากลางวงแล้วกราดยิงพวกเราทุกคน" นอกจากนั้นยัง "ฆ่าไม่เลือกหน้า ไม่ว่าผู้บริสุทธิ์หรือใครก็ตาม" "พวกนี้จะฆ่า ทารกและเด็กของพวกเราด้วย แล้วก็จับพวกผู้ใหญ่มาทรมานอย่างทารุณก่อนสังหารให้ตาย"

ข้อความสำคัญเหล่านี้ถูกบันทึกไว้ในเทปเสียงที่ค้นพบหลังจากเหตุการณ์ วิปโยค โดยทูตมรณะที่โจนส์กับคณาสาวกใช้  "ฆ่าตัวตายยกหมู่"  คือน้ำองุ่นเจือ "ไซยาไนด์ (Cyanide)" ซึ่งเป็นสารพิษชั้นแรงที่ให้ผลเร็วเฉียบพลัน

แต่อาการจากการดื่มน้ำยาพิษเข้า ไปนั้นช่างทรมานเหลือแสน จนบางคนต้องร้องขอให้เพื่อนช่วยยิงให้พ้นทุกข์ไป
ความทุกข์ทรมานน่าสังเวชเกิดขึ้นทั่วไปในโจนส์ทาวน์ ข้างฝ่ายสาธุคุณโจนส์ ก็ยังยืนประกาศปาวๆ ถึงความตายที่แสนบริสุทธิ์และไม่ทรมาน โดยชักชวนให้พ่อแม่กรอกยาพิษลูก สามีสังหารภรรยา หรือถ้าใครยังรีรอก็มีหน่วย "สงเคราะห์" จับยาพิษกรอกปากให้พ้นทุกข์ ทรมานไป โดยในเทปลับได้ยินสุ้มเสียงโจนส์ประกาศผ่านโทรโข่งดังนี้
"ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัวเลย 
มันเพียงแต่เปลี่ยนเราไปสู่สถานะที่สูงส่งขึ้นเท่านั้น"
"เราไม่ได้ฆ่าตัวตาย  แต่สิ่งที่เราทำคือการ ประท้วงความไร้มนุษยธรรมแห่งโลกนี้"
ซึ่งระหว่างนั้นก็มีเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ แทรกเข้ามาเป็นระยะ บ้างก็เป็นเสียงเด็กน้อยที่ร้องไห้ดิ้นรน เพราะเด็กๆจะเป็น
กลุ่มแรกที่ถูกสังหารก่อน จากนั้นพ่อแม่ค่อยร่วมกันดื่มยาพิษแล้วก็นอนตาย
ลงเคียงกัน

ส่วนสำหรับภาพสุดท้ายของ "โจนส์นคร"  นั้นคือ  ซากศพทั้งชายหญิงกองก่าย มีทั้งหนุ่มสาวและคนแก่  กลุ่มที่น่าสะเทือนใจจะเป็นกลุ่มพ่อแม่ลูกที่กุมมือกันตาย  บ้างก็เป็นสามี ภรรยาสิ้นใจในท่าตระกองกอดกันไว้

ส่วนร่างโจนส์นั้นมีรูกระสุนปืนที่ศีรษะนอนพังพาบอยู่ใกล้ๆ "อาสนะ" ที่เคยใช้เทศน์เป็นประจำ คนที่ตายไปทั้งหมดนี้รวมทั้งจิมด้วยแล้วมีถึง 914 ศพ การตายหมู่ครั้งนี้ถูกจดบันทึกไว้เป็นสถิติวิปโยคของโลกที่มีสาวกศาสนาตายหมู่รวมกันมากที่สุด

เบื้องหลังของจิม โจนส์นั้น ในแฟ้มประวัติอาชญากรมีรายงานว่า โจนส์เคยถูกจับในข้อหาชักชวนชายหนุ่มมาเพื่อกิจกรรมทางเพศในห้องสุขาของโรงภาพยนตร์ แต่ต่อมาเขาได้ต่อต้านเรื่องนี้อย่างรุนแรง และประกาศกร้าวว่าตัวเขานั้นคือ "ชายแท้ทั้งแท่ง"
ในโจนส์ทาวน์มีกฎเหล็กห้ามการมีเพศสัมพันธ์ นอกเสียจากจะได้รับอนุญาตจากโจนส์ แต่โจนส์นั้นมั่วทั้งยาและเซ็กซ์ กับทั้งหญิงและชาย แต่ทว่าด้วยการสร้างภาพอย่างดีก็ทำให้สาธุคุณจิม  โจนส์  เป็นศาสดาผู้น่าเลื่อมใส

ผลชันสูตรศพของจิม โจนส์ นั้นพบสิ่งผิดปกติ มากมาย โดยเฉพาะสิ่งที่น่าจะนำความวิปริตมาสู่สมองของจิมนั่นคือ  พบสารเสพติดประเภทยากล่อมประสาทในระดับที่สูงมาก  ซึ่งถ้าเป็นคนทั่วไปก็คงจะตายไปแล้ว แสดงว่าโจนส์ต้องใช้ยามานานมากจนร่างกายคุ้นชิน ซึ่งก็ตรงกับคำให้การของบุตรชายโจนส์และแพทย์ประจำตัวในนครซานฟรานซิสโกว่า โจนส์นั้นมีประวัติใช้
"เหล้าแห้ง(SLD)" และ "กัญชา"

แม้ว่านคราโจนส์ทาวน์ได้ปิดตายลงแล้ว แต่ เรื่องก็ยังไม่จบเพียงแค่นั้น หลังจากเหตุการณ์สยองก็ยังมีเสียงเล่าลือว่าในบริเวณที่ดินของอดีตเมืองโจนส์ทาวน์นั้น "เฮี้ยน" หนักหนา มีชาวบ้านที่เดินผ่านยามค่ำคืนได้เห็นปรากฏการณ์ประหลาดคล้ายมีแสงไฟวอมแวมอยู่ในเมืองร้างนั้น สลับกับเงาคนวูบวาบไปมาอยู่เนืองๆ คล้ายกับกำลังมีงานพิธีใด หรือบางทีได้ยินเสียงกรีดร้องคร่ำครวญออกมาจากราวไพร เห็นแสงไฟคล้ายมีคนเดินอยู่ แต่พอตามเข้าไปก็ไม่พบชีวิตใดนอกจากส่ำสัตว์ เลยกลายเป็นเรื่องเล่าลือว่าผีจิม โจนส์ กับสาวกของเขายังเฝ้าหลอกหลอนผู้ที่บังอาจรุกล้ำเข้าไปในอาณาจักรของเขา...


รายการบล็อกของฉัน

 hellomanman  happy-topay  invite-buying
 men-women-apparel diarylovemanman news-the-world
 homemanman alovemanman
 menmen-love
 ghost-in-manman  U.F.O.manman fishmanman
foodmanman  flowermanman herbs-in-manman
devilmanman herbs-in-manman manman clip