พญามาร ซาตาน และจอมปีศาจ มาจากหนใด? ว่าด้วยมุมมองเกี่ยวกับปีศาจในศาสนาต่าง ๆ ของโลก
◕‿
-เป็นเวลาหลายพันปีมาแล้วที่ศาสนาต่าง ๆ ได้นับถือบูชาทวยเทพ และมองเทพเป็นพระผู้สร้างและผู้พิทักษ์ที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา แต่หลายคนยังเชื่อว่า อีกฝั่งหนึ่งของความดีอันศักดิ์สิทธิ์ก็คือด้านมืด โดยตีความชั่วร้ายออกมาในรูปบุคลาธิษฐาน หรือการสร้างภาพตัวบุคคลขึ้นมา เป็นสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติที่ชั่วร้าย ซึ่งมีเป้าหมายในการนำพามนุษย์ออกจากเส้นทางอันถูกต้องดีงาม สิ่งมีชีวิตที่มีเจตนาร้อยเหล่านี้มีชื่อแตกต่างกันไปในแต่ละวัฒนธรรม แต่โดยรวมแล้ว พวกเขาถูกเรียกขานว่า “ปีศาจ” อันเป็นคำที่มาจากภาษากรีกว่า “diabolos” แปลว่า “ผู้กล่าวร้าย” บางวัฒนธรรมจินตนาการว่ามีวิญญาณชั่วอยู่มากมาย แต่ส่วนใหญ่จะเน้นว่ามีบุคคลหนึ่งเดียวที่ตั้งตนเป็นศัตรูตัวฉกาจของพระผู้เป็นเจ้า นักคิดด้านศาสนาบางคนมองว่า แนวคิดที่ว่าพระเจ้าทรงมีศัตรูเช่นนั้นเป็นส่วนสำคัญของกฎธรรมชาติ ซึ่งแสดงให้เห็นด้านตรงข้ามของสิ่งหนึ่ง ๆ “โลกของเราคือโลกของขั้วตรงกันข้าม” พอล
คารุส นักเทววิทยา เขียนไว้เมื่อปี 1900 ว่า “เมื่อมีแสงก็ต้องมีเงา เมื่อมีร้อนก็ต้องมีหนาว เมื่อมีความดีก็ต้องมีความชั่ว เมื่อมีพระเจ้าก็ต้องมีปีศาจ” นั่นคือทวิภาวะ (duality หรือภาวะคู่กัน) ซึ่งผู้นับถือศาสนาส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ นิยมเชื่อกัน ผลสำรวจ YouGov ในปี 2013 ระบุว่าชาวอเมริกันร้อยละ 57 เชื่อว่าปีศาจมีอยู่จริง และร้อยละ 51 เชื่อว่าคนอาจถูกผีหรือปีศาจเข้าสิงได้จริง ๆ
☼ เซท (Seth) เทพแห่งพายุและสงครามของชาวไอยคุปต์ความเชื่อที่ว่ามีตัวละครที่รับบทชั่วร้ายย้อนกลับไปได้ถึงยุคอียิปต์โบราณ เทพปกรณัมของชาวไอยคุปต์กล่าวถึงเซท เทพจอมเจ้าเล่ห์แสนกลที่เรียกพายุ ความตาย และความโกลาหล มาสู่มนุษย์ อะลัสแตร์ คุก นักประวัติศาสตร์วัฒนธรรม เขียนไว้ว่า มีเทพอีกองค์หนึ่งที่ชื่อเบส เป็นเทพแห่งสุราเมรัย การร่วมประเวณี และกิจกรรมรื่นเริงบันเทิงใจ ผู้มีหนวดเครา มีเขา และหางสองแฉก เทพผู้นี้อาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับการสร้างสรรค์รูปแบบปีศาจในศิลปะตะวันตกก็เป็นได้
ชาวบาบิโลเนียเชื่อในเรื่องภูตผีปีศาจ ซึ่งเป็นอีกภาคหนึ่งของเทพที่ดุร้ายและเจ้าคิดเจ้าแค้น เราอาจเรียกปีศาจเหล่านี้ขึ้นมาจากขุมนรกเพื่อให้มาทำร้ายมนุษย์ด้วยโรคภัยไข้เจ็บ และลงโทษมนุษย์โดยบันดาลให้เกิดสภาพอากาศเลวร้ายได้
แนวคิดที่ว่ามีตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นตัวแทนขั้นสูงสุดของความชั่วอาจถือกำเนิดขึ้นในหลากหลายวัฒนธรรม ในศาสนาโซโรแอสเตอร์ ซึ่งเป็นศาสนาโบราณของเปอร์เซีย พระผู้สร้างที่เรียกว่า อาฮูรามาซดา (Ahura Mazda) และวิญญาณดีที่ชื่อสเปนตาไมนิว (Spenta Mainyu) มีผู้คิดร้ายเรียกว่าอาห์รีมาน (Ahriman) น้องชายฝาแฝดของสเปนตาผู้เลือกฝ่ายชั่ว อาห์รีมานพยายามกระตุ้นให้คนละโมบโลภมาก บันดาลโทสะ และคิดอิจฉาริษยา เพื่อให้มนุษย์ทำลายตนเอง เขาจัดตั้งกองทัพปีศาจขึ้นมาเพื่อช่วยในภารกิจนี้
ศาสนาพุทธเองก็มีบุคคลที่เป็นตัวแทนฝ่ายอธรรมเช่นกัน เรียกว่าพระยามาร หรือพญามาร (Mara) ชื่อนี้แปลได้ว่า “ผู้ประหัตประหาร” หรือ “ความตาย” ในภาษาสันสกฤต ความเชื่อทางพุทธมีอยู่ว่า บทบาทหน้าที่ของมารคือการขัดขวางไม่ให้มนุษย์มีความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณ โดยล่อลวงพวกเขาด้วยความสุขทางโลกและสิ่งบันเทิงเริงใจอื่นๆ ในพุทธประวัติ เมื่อพระพุทธองค์ประทับลงใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ พญามารพยายามก่อกวนการทำสมาธิของพระองค์ และส่งกองทัพปีศาจมาเผชิญพระพุทธองค์ ทว่าพระพุทธเจ้าทรงมีชัยและทำให้พญามารล่าถอยไปได้ในที่สุด แต่พระไตรปิฎกกล่าวไว้ว่า พญามารยังไม่รามือจากชาวพุทธง่าย ๆ
ศาสนายูดาห์ (ยิว) เองก็มีแนวคิดเรื่องปีศาจและมาร เรียกว่าซาตาน ผู้ล่อลวงมนุษย์ให้ทำสิ่งผิด แม้ว่าซาตานจะปรากฏตัวเพียงไม่กี่ครั้งในพระคัมภีร์ของชาวยิว ตัวอย่างเช่น ในหนังสือพงศาวดาร 21 (Chronicle 21) เขาได้ยั่วยุให้กษัตริย์ดาวิดดูหมิ่นพระเจ้า ทำให้พระเจ้าทรงลงทัณฑ์อิสราเอล ซาตานยังปรากฏในพระคัมภีร์เล่มโยบ (Job) ซึ่งบันดาลทุกข์เข็ญให้ผู้เชื่อในพระเจ้ามีบาดแผลพุพองอันเจ็บปวด แต่ซาตานในแบบของชาวยิวดูจะเป็นสัญลักษณ์มากกว่าจะมีตัวตนอยู่จริงๆ หรือเรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของ “อุปสรรคกีดขวาง”
ชาวคริสต์เชื่อว่า ปีศาจปรากฏตัวหลายครั้งในพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ โดยมีการกล่าวถึงมากที่สุดในหนังสือมัธทิว (Matthew) เมื่อปีศาจปรากฏตัวขึ้นในทะเลทราย ซึ่งพระเยซูทรงอดพระกระยาหารอยู่นาน 40 วัน 40 คืน จากนั้นก็พยายามผจญให้พระองค์ล้มเลิกความตั้งใจที่จะไถ่บาปให้มนุษย์ หลังเย้ยหยันความหิวของพระองค์แล้ว มารก็พาพระองค์ขึ้นไปที่ยอดเขา และให้พระองค์เห็นราชอาณาจักรต่างๆที่รุ่งเรือง แล้วทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านจะก้มลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน” แต่พระเยซูทรงขับไล่มาร ในพระคัมภีร์เล่มวิวรณ์ระบุว่า ซาตานได้ปลุกระดมให้เกิดสงครามครั้งสุดท้ายระหว่างความดีและความชั่ว และปราชัยในที่สุด เทวทูตองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์เพื่อล่ามเขาไว้ด้วยโซ่ตรวน ก่อนจะจับซาตานโยนลงสู่หุบเหวไร้ก้น
ในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ไม่มีการบรรยายถึงการที่ซาตานกลายเป็นปฏิปักษ์ของพระเจ้าไว้อย่างละเอียดแต่อย่างใด แม้ว่าพระเยซูจะทรงเอ่ยในพระวรสารลูกา 10:18 ว่า พระองค์ทรงเห็นซาตานตกจากสวรรค์เหมือนอสุนีบาต แต่ในเวลาต่อมา ชาวคริสต์ได้เสริมบทพรรณาที่ละเอียดยิ่งขึ้น โดยระบุว่า ซาตานเป็นเทวทูตผู้ตกสวรรค์เพราะขัดขืนต่อพระเจ้า จึงโดนขับออกจากสวรรค์ นับจากนั้นมา ซาตานในความเชื่อของชาวคริสต์จึงหมายถึงผู้ที่พยายามนำพามนุษย์ออกห่างจากพระเจ้าและหนทางแห่งศีลธรรมอันดีงามของพระองค์ และจะนำพาไปสู่เส้นทางของการทำบาป
ศาสนาอิสลามมีซาตานในแบบของตัวเองเช่นกัน เป็นเทวทูตตกสวรรค์นามว่า อิบลิส (Iblis) ซึ่งมีเรื่องราวแตกต่างไปจากปีศาจของชาวคริสต์ เรื่องราวของชาวมุสลิมมีอยู่ว่า อิบลิสปฏิเสธที่จะทำความเคารพอาดัม อันเป็นผลงานสร้างสรรค์ขององค์อัลลอฮ์ จึงถูกขับออกจากสวรรค์
ศาสตราจารย์โมนา ซิดดีกี (Professor Mona Siddiqui) อาจารย์ในสาขาวิชาอิสลามศึกษาที่มหาวิทยาลัยกลาสโกว์ บอกว่า ตอนอยู่บนโลกมนุษย์ อิบลิสได้แปลงกายเป็นผู้ยั่วยวนใจที่หลอกล่อให้ผู้คนออกห่างจากพระเจ้า เหยื่อรายแรกๆของเขาคืออาดัมกับเอวา ซึ่งเขาใช้ความสุขทางกามารมณ์เข้าหลอกล่อ แต่ชาวมุสลิมเชื่อว่า ปีศาจมีพลังอำนาจอ่อนด้อยกว่ามนุษย์ “มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะมีชัยชนะเหนือซาตาน กล่าวได้ว่า ตัณหาพวกเขาเองนั่นแหละที่นำพาพวกเขาให้หลงผิด” ซิดดิกีเขียนไว้
แม้ว่าแนวคิดเรื่องปีศาจจะถือกำเนิดมาจากศาสนา แต่วิธีที่เราจินตนาการถึงปีศาจก็ได้รับอิทธิพลมาจากศิลปินและนักเขียนมาหลายชั่วอายุคน ตัวอย่างเช่น ศิลปะตะวันตกจะมีภาพปีศาจให้เห็นอยู่เสมอ พระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่ได้พรรณาถึงลักษณะรูปร่างหน้าตาของปีศาจไว้ ศิลปินสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) จึงต้องสร้างรูปร่างหน้าตาของจอมปีศาจขึ้นมา โดยหยิบยืมลักษณะมาจากวัฒนธรรมอื่นๆ เช่น ยืมเขาและหางของเทพเบสของชาวไอยคุปต์ และยังยืมลักษณะของเท้าที่เป็นกีบมาจากเทพแพนของชาวกรีกอีกด้วย
“ในศตวรรษที่สิบห้าและสิบหก ลักษณะทั้งหมดนี้รวมกันขึ้นมาเป็นภาพปีศาจที่ดูเหมือนสัตว์ร้าย มีเขา และมีขนดก ซึ่งรับบทเป็นศัตรูตัวฉกาจของพระคริสต์ ศาสนาจักร และมนุษยชาติ” เบอร์นาร์ด แบร์ไรต์ ผู้รวบรวมผลงานทางศิลปะเพื่อมาจัดแสดงที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
ซาตานเป็นตัวละครที่พบได้บ่อยในวรรณกรรมตะวันตก ตัวอย่างเช่น ในงานเขียนของดานเต อาลีกีเอรี ชื่อ
“ขุมนรก” (Inferno) ปีศาจรับหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ฝ่ายชั่วและพากวีผู้เขียนไปชมนรกขุมต่างๆ ที่ซึ่งเหล่าคนบาปต้องชดใช้กรรมและถูกทรมานในรูปแบบต่างๆกันไปในแต่ละขุม ปีศาจตนนี้เป็นผู้นำให้เหล่าเทวทูตลุกฮือขึ้นก่อกบฏในงานเขียนเรื่อง “สวรรค์ล่ม” (Paradise Lost) ของจอห์น มิลตัน และเป็นผู้ล่อลวงมนุษย์ให้แสวงหามาซึ่งอำนาจและความรู้ให้ขายวิญญาณของตนในวรรณกรรมเรื่อง “เฟาสต์” (Faust) ของโยฮันน์ วูล์ฟกัง นักเขียนสองคน ได้แก่ ที.เจ. เรย์ และเกรกอรี มอบลีย์ เขียนไว้ในหนังสือชื่อ “กำเนิดซาตาน : แกะรอยจอมปีศาจไปถึงรากเหง้าในพระคริสตธรรมคัมภีร์” (The Birth of Satan: Tracing the Devil's Biblical Roots) ว่า การพรรณารูปลักษณ์ยอดนิยม “กลายเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวเกี่ยวกับซาตานของชาวคริสต์ โดยภาพในพระคัมภีร์ค่อยๆเลือนหายไปเมื่อศิลปินปรับแต่งและตีความในแบบของตนเอง”
ทว่า ในการตีความสมัยใหม่ ซาตานมักจะมีรูปร่างเหมือนคนธรรมดาทั่วไป และมีความงามสง่ามากกว่าจะดูเหมือนสัตว์ป่า ในเพลงร็อกปี 1968 ชื่อ “Sympathy for the Devil” ของวงโรลลิ่งสโตน ซาตานได้รับการวาดภาพให้เป็น “บุรุษผู้มั่งคั่งและมีรสนิยม” ผู้กลับชาติมาเกิดครั้งแล้วครั้งเล่าในช่วงประวัติศาสตร์เพื่อมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นบนโลก บทเพลงกล่าวไว้ว่า จอมปีศาจมีส่วนรู้เห็นในการตัดสินพระคริสต์ การฆาตกรรมพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่สองแห่งรัสเซีย และการรบพุ่งในสงครามโลกครั้งที่สอง และซาตานในหนังเรื่อง “The Devil’s Advocate” ของปี 1997 ยังได้อัล ปาชิโน มารับบทเป็นเจ้าของสำนักงานทนายความตัวร้ายที่เจ้าเล่ห์และรู้จักปั่นหัวหลอกใช้คนอื่น
วัฒนธรรมต่าง ๆ บรรยายและวาดภาพจอมปีศาจไว้หลากหลายรูปแบบ แต่ไม่ว่าจะมีรูปลักษณ์แตกต่างกันอย่างไร ผู้คนที่เชื่อในเรื่องพระเจ้าและปีศาจต่างเห็นพ้องกันว่า ปีศาจมีบทบาทหน้าที่เหมือนกัน นั่นคือการนำพามนุษย์ไปสู่ด้านมืดและออกห่างจากความดีนั่นเอง