บทความที่ได้รับความนิยม

วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ขั้นตอนการทำมัมมี่ในปาปัวนิวกินี ตอนที่1


ขั้นตอนการทำมัมมี่ในปาปัวนิวกินีมุมมองจากหน้าผาลงมายังหมู่บ้าน
ย้อนไปในปี 2003
ตอนที่ Ulla Lohmann
ช่างภาพและนักวิทยาศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อม
ได้พบกับชนเผ่า Anga
ใน Papua New Guinea เป็นครั้งแรกผู้สูงอายุของชนเผ่าหลายคนได้บอกอย่างสุภาพให้เธอออกไปจากที่นั่นแม้ว่าเธอจะต้องใช้เวลาขับรถยนต์ทั้งวัน ก่อนที่จะต้องปีนเขาอีก 3 ชั่วโมง
เป็นการเดินทางอย่างช้า ๆ และยากลำบากมากกว่าจะเข้าไปถึงที่ราบสูงฝั่งตะวันตกของเกาะก็ตามเพราะชนเผ่านี้ไม่คุ้นเคยกับนักท่องเที่ยว
และไม่ชื่นชอบที่วัฒนธรรมของพวกตนจะถูกคนภายนอกพบเห็นเหตุผลที่ชนเผ่านี้ไม่ชอบผู้มาเยือนก็เป็นเหตุผลเดียวกัน
ที่ทำให้ Lohmann มุ่งมั่นตั้งใจที่จะไปเยี่ยมเยือนพวกเขา

ชนเผ่า Anga เป็นที่รู้จักกันดีถึงการทำศพไม่ให้เน่า
ด้วยพิธีกรรมที่มีมาตั้งแต่ครั้งโบราณคนในครอบครัวต่างมีตำนานที่ยาวนาน
👉ในการทำให้ศพญาติพี่น้องมัดติดกับแคร่(เก้าอี้)
ในท่านั่งแล้ววางอยู่บนภูผาหินใกล้กับหมู่บ้าน
จากจุดที่สูง ณ ที่แห่งนั้นจะทำให้มัมมี่รมควันของครอบครัวได้มองเห็นลูกหลานของพวกเขา เสมือนหนึ่งว่าผู้เฒ่าผู้แก่กำลังจ้องมองและคุ้มครองปกป้องพวกเขา

ผู้ชาย  7 คนของครอบครัว Gemtasu  ทำหน้าที่ทำมัมมี่ศพที่ต้องอยู่เหนือกองไฟ 
และห้ามทุกคนที่ทำพิธีนี้ออกจากกระต๊อบและอาบน้ำ
Lohmann ยอมถอยออกมาหลังจากที่เธอได้รับการขอร้องจากคนในชนเผ่า
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เธอกลับมาอีกและไป ๆ มา ๆ เป็นประจำร่วม 10 ปี เพราะเธอเพียงแต่ต้องการจะเรียนรู้จากชนเผ่าเรื่องการใช้ชีวิตและเรื่องทำศพว่าคนในครอบครัวทำกันอย่างไร

ในช่วงแรก ๆ ของการไปเยี่ยมเยือนเธอเริ่มเรียนรู้ทีละเล็กทีละน้อยถึงโครงสร้างชนเผ่าที่เปราะบางและหลังจากการเดินทางที่ยากลำบากหลายครั้งเข้าไปในพื้นที่

Gemtasu หนึ่งในผู้สูงอายุของชนเผ่า Anga ได้ปรับทุกข์กับเธอและบอกเธอว่า เมื่อเขาตาย  เขาต้องการให้ทำมัมมี่ศพของเขาชนเผ่า Anga 
มีอยู่ราว 45,000 คน

มีวิธีการทำมัมมี่ที่แตกต่างจากชาวอียิปต์ยุคโบราณ
ที่ควักอวัยวะภายในทั้งหมดออกมาแล้วห่อด้วยผ้า
👉แต่มัมมี่ของชนเผ่า Anga จะอยู่ในท่านั่งและต้องใช้เวลากว่า 3 เดือนบนกองไฟเพื่อรมควันศพอย่างต่อเนื่อง
ควันไฟจะช่วยในการรักษาศพในเขตพื้นที่ชุ่มชื้น
ซึ่งปกติมักจะย่อยสลายไปได้อย่างรวดเร็ว

👉วิธีการทำมัมมี่มีพิธีกรรมที่เคร่งครัดมาก
ศพจะวางอยู่เหนือกองไฟและถ้าศพพองตัวขึ้นมา
จะถูกไม้ทิ่มให้ของเหลวในศพหยดลงมาและขั้นตอนสุดท้ายคือใช้ไม้ทิ่มเข้าไปในรูก้น
(รูดาก)เพื่อให้อวัยวะภายใน
ร่วงหล่นหลุดลงมาเผาไหม้บนกองไฟ

ตั้งแต่วันเริ่มต้นจนจบวันจนสิ้นพิธีกรรมนี้คนทำมัมมี่ต้องผลัดกันเฝ้าศพตลอดเวลา
เพราะของเหลวในศพ ลำไส้/อวัยวะภายในและร่างผู้ตายจะต้องไม่แตะพื้นดิน

👉มันเป็นข้อห้ามเพื่อไม่ให้เจอโชคร้ายGemtasu กำลังทดลองนั่งบนเก้าอี้ทำมัมมี่
ส่วนที่สำคัญมากที่สุดคือรักษาใบหน้าศพให้เหมือนเดิม
ในวัฒนธรรมเดิมที่ไม่มีภาพถ่ายมีวิธีเดียวที่จะจดจำภาพผู้ตายก็ด้วยการรักษาศพและใบหน้าไว้ให้นานที่สุด

" เราใช้ภาพถ่าย พวกเขาใช้มัมมี่ชนเผ่า Anga เชื่อว่าญญานจะล่องลอยไปทั่วทั้งวัน
แล้วกลับเข้าร่างมัมมี่ในตอนเวลากลางคืนถ้ามองไม่เห็นใบหน้าตนเองก็จะไม่เจอร่างของตนเอง

วิญญาณจะร่อนเร่ไปตลอดกาล " Lohmann กล่าว
ครั้งหนึ่ง กระบวนการทำมัมมี่เคยเป็นที่แพร่หลายกัน
ในปาปัวนิวกินีและหมู่เกาะอื่น ๆ  ในแปซิฟิกตอนใต้
และประสบความสำเร็จมากที่สุดในศตวรรษที่ 19 และช่วงตอนต้นศตวรรษที่ 20เพราะการหาวิธีที่จะรักษาศพไว้ได้ จะทำให้พวกเขามองเห็นคนตายได้
แทนการฝังร่างไว้ใต้ดินจะทำให้พวกเขาลืมเลือนคนตายไปได้อย่างง่ายดาย

หลานชาย Gemtasu ทำพิธีรับศีลก่อนหน้า Gemtasu จะตายไม่นานนักแต่การมาถึงของนักเผยแพร่ศาสนาคริสต์
และเจ้าหน้าที่รัฐบาลอังกฤษและออสเตรเลีย
ในช่วงกลางของศตวรรษที่ 20
การกระทำดังกล่าวกลายเป็นเรื่องอัปยศผิดหลักศาสนาคริสต์

รวมทั้งมีเรื่องของคุณธรรมและสุขอนามัยเข้ามาปะปน
จึงห้ามทำประเพณีและวัฒนธรรมเดิมที่เคยทำกันมานมนานแม้ว่า Gemtasu จะไม่ทราบอายุที่แน่นอนของเขา แต่ความรู้สึกในบั้นปลายของชีวิตของเขาเขาเชื่อว่าเรื่องสำคัญคือ ให้ประเพณีนี้ยังคงอยู่
การทำมัมมี่ตัวเขาจะช่วยให้
เขาคุ้มครองปกป้องครอบครัวของเขาได้ดังนั้นเขาจึงสอนลูกที่โตแล้ว

ถึงวิธีการรักษาศพไว้ไม่ให้เน่า
โดยเขาสาธิตวิธีทำกับหมูป่าตายและด้วยความช่วยเหลือจากนักมานุษยวิทยา
Ronald Beckett กับ Andrew Nelson
ที่ทั้งคู่ต่างตอบรับคำขอร้องจาก Lohmann
ให้ศึกษากระบวนการอนุรักษ์ศพรมควันในอดีต
ที่มีสภาพผุพังชำรุดมากให้กลับมามีสภาพดีกว่าเดิม
ทั้งยังช่วยสอนวิธีการอนุรักษ์ให้กับลูกหลานในชนเผ่า Anga

Gemtasu ได้ขอร้องให้ Lohmann
ถ่ายภาพวิธีการทำมัมมี่ศพของตนแล้วเผยแพร่เรื่องราวของเขาด้วยทุกคืน ครอบครัว Gemtasu ต่างนั่งล้อมวงกันเพื่อรับไออุ่นจากกองไฟ
แล้วพูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ กันกับเล่าเรื่องตลกขบขันที่ Gemtasu ชื่นชอบบางครั้งทุกคนต้องเงียบเพราะพวกเขาคิดว่าได้ยินเสียง Gemtasu หัวเราะ
บุตรชายหลายคนของเขา
กับคนหลายคนของชนเผ่าต่างต่อต้านในตอนแรก
ชนเผ่านี้ได้เลิกราการทำมัมมี่ไปเป็นเวลานานมากแล้ว
และเรื่องที่ร้ายแรงอย่างแรงคือ
ไม่มีอะไรที่มีกลิ่นฉุนกว่าเนื้อคนที่รมควันอย่างช้า ๆ
ชนเผ่าที่มีประสบการณ์ทำมัมมี่ยังหลงเหลือจำนวนเล็กน้อยพอ ๆ กับวัยรุ่นในชนเผ่าที่ถูกผลักไสไปทำงานที่ท่าเรือ/ในเมือง
ที่พวกเขาได้สัมผัสกับโลกาภิวัตน์มากขึ้นกว่าในอดีต
แต่ Gemtasu ได้ย้ำเตือนบุตรชายของเขาอย่างต่อเนื่องว่า

การทำมัมมี่ อย่างน้อยก็เพื่อเขา และเป็นเรื่องสำคัญ
" เขาทะเลาะกับพวกผมมานานพอควรดังนั้นในที่สุดผมก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีก 
(ทนรำคาญไม่ได้)
นอกจากสัญญากับเขาว่า
จะทำให้ความปรารถนาของเขาเป็นจริงขึ้นมา "
Awateng ลูกชาย Gemtasu กล่าวหลังจากนั้นในปี 2015 Gemtasu ก็เสียชีวิต

ศพของ Gemtasu ระหว่างการทำมัมมี่ในกระต๊อบรมควันเพื่อรักษาคำสัญญาที่จะทำตามคำสั่งเสียของผู้ตายLohmann ได้เดินทางกลับไปยังปาปัวนิวกินี
เพื่อร่วมเป็นสักขีพยานและถ่ายภาพวิธีการทำมัมมี่
บุตรชายกับหลานชายของ Gemtasu ทั้ง 7 คน
เริ่มพิธีกรรมด้วยการเอาดินเหนียวสีขาวป้ายบนใบหน้า
เพื่อเป็นสัญลักษณ์การแสดงถึงความเศร้าโศก
ช่วงระยะเวลาที่ทำพิธีกรรมทำมัมมี่นี้

ห้ามดื่มน้ำชนิดอื่น ๆ ยกเว้นน้ำอ้อยที่ใส่ไว้ในกระบอกไม้ไผ่ต้องกินอาหารที่ปรุงสุกในกองไฟที่รมควันศพ Gemtasuและเมื่อผิวหนังของ Gemtasu ผุพองหรือลุกไหม้พวกเขาต้องรีบใช้ไม้ปาดด้านบนสุดออกทันที
Gemtasu กับข่างภาพ Ulla Lohmann

Lohmann ได้ตั้งข้อสังเกตในช่วงสังเกตการณ์ว่า
ในช่วงสัปดาห์แรก ๆ ของการรมควันศพ
ศพจะมีลักษณะพองแล้วค่อย ๆ ยุบ
ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ  จนในที่สุดก็จะแข็งตัว
ผู้ทำพิธีมัมมี่ทั้ง 7 คนต่างต้องป้ายของเหลว
ที่ไหลออกจากศพ Gemtasu ใส่ร่างของตนเอง
เพื่อเป็นการรักษาจิตวิญญาณของผู้ตาย
ภายใต้กฎระเบียบพิธีกรรมที่เคร่งครัด
ทุกคนที่ทำพิธีมัมมี่นี้ห้ามอาบน้ำล้างตัว
และออกจากกระต๊อบรมควันศพเป็นเวลา 3 เดือน

วัตถุประสงค์หลักของวัฒนธรรมการทำมัมมี่
คือ การแสวงหาของชีวิตนิรันดร์
หรืออย่างน้อยที่สุดคือการเห็นคนตายอย่างต่อเนื่อง
ขั้นตอนสุดท้ายสำหรับชนเผ่า Anga คือ
การขนย้ายศพที่รมควันให้เป็นมัมมี่
มัดไว้กับเก้าอี้พิงไว้กับหน้าผาหิน
เพื่อให้ผู้ตายสามารถมองเห็นหมู่บ้าน
และผู้ตายจะได้เข้าร่วมวงกับ
ผู้สูงอายุในหมู่บ้านที่ตายไปก่อนหน้านี้แล้ว
บางศพก็กลายเป็นโครงกระดูกที่เน่าเฟะไม่เหลือร่องรอยความยั่งยืนในอดีตแต่อย่างใด

รายการบล็อกของฉัน

 hellomanman  happy-topay  invite-buying
 men-women-apparel diarylovemanman news-the-world
 homemanman alovemanman
 menmen-love
 ghost-in-manman  U.F.O.manman fishmanman
foodmanman  flowermanman herbs-in-manman
devilmanman herbs-in-manman manman clip