บทความที่ได้รับความนิยม

วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2562

ความหฤโหดในกองทัพ เจงกิสข่าน

เจงกิสข่าน.
เจงกิสข่านและกองทัพมองโกลของเขาบุกตะลุยไปทั่วเอเชีย สังหารโหดและพิชิตดินแดนอันกว้างใหญ่ไพศาลของโลก ไม่มีกองทัพใดสามารถยืนขวางทางของพวกเขาได้ เมื่อถึงตอนที่การพิชิตสิ้นสุดลง พวกเขา ก็กวาดล้างประชากร 1 ใน 10 ของโลกไปแล้ว

มันต้องใช้กองทัพอันแข็งแกร่งและเหี้ยมโหดในการกระทำดังกล่าว นักรบในกองทัพมองโกลไม่มีทางเลือกที่จะอ่อนแอ ชีวิตในกองทัพมองโกลหมายถึงการยอมสละแม้แต่ความสะดวกสบายพื้นฐานที่สุด และทำบางสิ่งที่น่าสยองขวัญสุดขีด
วันนี้เราจะพาไปดูกันครับว่าพวกเขาเคยทำอะไรไว้บ้าง

พวกมองโกลไม่เคยซักเสื้อผ้า

ทหารมองโกลในยุคของเจงกิสข่านเชื่อว่า การทำให้น้ำปนเปื้อนจะสร้างความโกรธให้พวกมังกรซึ่งควบคุมวงจรชีวิตของน้ำ พวกเขา กลัวว่าถ้าทำให้น้ำสกปรก ทวยเทพจะส่งพายุมาทำลายบ้านเรือนของพวกเขา และด้วยเหตุนั้นพวกเขาจึงไม่ล้างสิ่งใดๆด้วยน้ำ

การอาบน้ำในน้ำที่ไหลหรือการซักเสื้อผ้าเป็นสิ่งต้องห้าม นักรบมองโกลส่วนใหญ่จะไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าของพวกเขาด้วยซ้ำ อย่างมากพวกเขาก็จะตีเสื้อผ้าเหล่านั้นเพื่อไล่เห็บเหาแล้วนำมันมาสวมใหม่ พวกเขาสวมเสื้อผ้าชุดเดียวกันวันแล้ว วันเล่า จนกระทั่งมันเปื่อยยุ่ยและสวมใส่ไม่ได้อีกต่อไป

พวกเขาไม่ล้างจานในน้ำเช่นกัน แต่ล้างมันในน้ำซุปที่เหลือจากอาหารมื้อล่าสุด จากนั้น พวกเขาก็รินน้ำซุปที่ใช้แล้วกลับเข้าไปในหม้อและปรุงเป็นอาหารมื้อต่อไป

แน่นอนว่าพวกเขาต้องมีกลิ่นตัวแรง แต่ก็ถือว่าเป็นความภาคภูมิใจสำหรับเรื่องนี้ เพราะมันมีพลังในกลิ่นสาบ ถือว่าเป็นเกียรติ ถ้าท่านข่านมอบเสื้อคลุมให้ใครบางคน ไม่ใช่เพียงเพราะคนคนนั้นได้เสื้อผ้าของเจงกิสข่าน แต่เป็นเพราะตอนนี้เขาสามารถสวมใส่กลิ่นสาบของท่านข่านตลอดเวลาด้วย

เรียนการขี่ม้าเมื่ออายุ 3 ขวบเมื่อเด็กมองโกลเดินได้ พวกเขาก็เรียนการขี่ม้า ทุกครอบครัวมีม้าอย่างน้อย 1 ตัว ไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจน ทหารหรือชาวนา คนเลี้ยงแกะก็จะดูแลฝูงสัตว์ของพวกเขาบนหลังม้า พวกเขาต้องพร้อมรบตั้งแต่วัยเยาว์ ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มต้นเมื่ออายุได้สามขวบ

พวกมองโกลมีอานม้าที่สั่งทำสำหรับเด็กๆ ออกแบบให้มีความปลอดภัยเป็นพิเศษเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเด็กๆจะไม่บาดเจ็บ เด็กๆต้องเริ่มฝึกหัดในทันทีที่เป็น ไปได้ เมื่อชาวยุโรปเห็น เข้าก็ทึ่งจนต้องเขียนจดหมายกลับมาเล่าว่าเด็กหญิงตัวน้อยๆในมองโกเลียขี่ม้าเก่งกว่าผู้ชายชาวยุโรปส่วนใหญ่เสียอีก

เด็กๆยังต้องเรียนยิงธนูด้วย ทันทีที่พวกเขาเริ่มขี่ม้า ก็จะได้รับธนูคันจิ๋วและถูกสอนให้ยิง ชาวมองโกลในยุคของเจงกิสข่าน การขี่ม้าและการยิงธนูนั้นสำคัญพอๆกับการเดิน

ดื่มเลือดจากคอม้า

กองทัพมองโกลเดินทางเป็นระยะทางไกลอย่างเหลือเชื่อ ภายในวันเดียวพวกเขาสามารถเดินทางได้ไกล 130 กิโลเมตร เป็นระยะทางที่ในยุคของพวกเขาไม่เคยได้ยินกันมาก่อน ต้องใช้การขี่ม้าอย่างทรหดจึงจะทำได้เช่นนั้น และพวกเขาไม่มีเวลาที่จะหยุดเพื่อกินอาหาร

เพื่อทำให้การเดินทางเช่นนั้นเป็นไปได้ พวกเขาจึงยัดเนื้อดิบไว้ใต้อานม้า เชื่อกันว่ามันทำให้เนื้อนุ่มและเพื่อตัดแบ่งเนื้อดังกล่าวออกมากินได้ขณะม้ากำลังวิ่งอยู่ แต่เรื่องนี้ยังมีข้อถกเถียง บางคนเชื่อว่าเนื้อนั้นมีไว้สำหรับช่วยบรรเทาอาการแสบหลังของม้าขณะเดินทางระยะไกลมากกว่า

มาร์โคโปโลอ้างว่านักรบเหล่านี้ขี่ม้าเป็นเวลา 10 วันรวดโดยไม่ได้หยุดพักให้นานพอที่จะก่อกองไฟได้ เมื่อกระหายน้ำพวกเขาจะเจาะรูที่คอของม้าและดื่มเลือดที่ไหลปรี่ออกมา
ผู้ชายมองโกลมีเมียได้ 30 คน

ชาวมองโกลมีข้อห้ามในการมีเซ็กซ์นอกสมรส ถ้าชายคนหนึ่งถูกจับได้ว่ามีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว เขาจะถูกตัดริมฝีปาก ถ้ามีคนพบตอนอยู่บนเตียงด้วยกัน ชายคนนั้นจะถูกฆ่า และถ้าเขาถูกจับได้พร้อมกับหญิงบริสุทธิ์ที่ยังไม่แต่งงาน ทั้งผู้ชายและผู้หญิงจะถูกประหารชีวิต
การล้อมตีเมือง.
แต่ถ้าเขาแต่งงาน ก็จะมีเมียได้มากเท่าที่ต้องการ หรือมากเท่าที่จะมีปัญญา เพราะเขาจะต้องจ่ายค่าสินสอดสำหรับเมียแต่ละคน และต้องจัดหากระโจมให้เธอเป็นที่อยู่อาศัย ชายชาวมองโกลบางคนมีเมีย 30 คน และเจงกิสข่านเองมีหลายร้อย
บุตรคนสุดท้องเป็นผู้รับช่วงบรรดาภรรยาของพ่อ
เมื่อชีวิตของชาวมองโกลคนหนึ่งมาถึงจุดจบ เพื่อให้แน่ใจว่าบรรดาภรรยาของเขาจะได้รับการดูแล ที่ดินและทรัพย์สินของเขาจะถูกแบ่งให้แก่ลูกชายทั้งหมดของเขา โดยส่วนที่ดีที่สุดจะตกเป็นของลูกชายคนสุดท้อง เขาจะได้รับบ้านของพ่อ ทาสของพ่อ และรวมทั้งบรรดาเมียของพ่อ

ชายหนุ่มคนนั้นไม่ต้องแต่งงานกับแม่ของตัวเอง แต่เขาถูกคาดหวัง ว่าจะแต่งงานกับเมียคนอื่นๆทั้งหมดของพ่อ แต่ด้วยเหตุที่ไม่มีกฎตายตัว เขาจึงได้รับอนุญาตให้เลือกปฏิบัติตามใจตัวเองได้ด้วย
ใช้สงครามจิตวิทยา

หนึ่งในวิธีสำคัญที่พวกมองโกลกลายเป็นนักฆ่าที่มีประสิทธิภาพก็คือการใช้จิตวิทยา มองโกลคงไม่อาจพิชิตใครต่อใครได้หลายชาติโดยการสู้รบแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีวิธีทำให้ฝ่ายตรงข้ามยอมแพ้เป็นจำนวนมากที่สุดโดยไม่ต้องสูญเสียชีวิตทหาร

ทหารมองโกล.
ถ้ากองทัพฝ่ายตรงข้ามใหญ่กว่า พวกเขาจะวางหุ่นจำลองลงบนหลังม้าอะไหล่หรือจุดกองไฟ เพิ่มเติมเพื่อให้ดูเหมือนมีคนมากขึ้น ถ้ากองทัพของพวกเขา ใหญ่กว่า พวกเขาก็จะขี่ม้าเป็นแถว ตอนเรียงเดี่ยวโดยผูกกิ่งไม้ติดไปกับหางม้าเพื่อสร้างม่านฝุ่นควันให้ดูว่ามีจำนวนม้ามหาศาล

ทหารมองโกลเดินทางไปพร้อมกับกระโจม พักที่สามารถกางออกก่อนปิดล้อม เป็นบ้านมือถือรุ่นแรกเลยทีเดียว พวกเขายังเคยใช้สีของกระโจมสร้างความหวาดกลัวแก่ประชาชนที่อยู่ภายในกำแพงเมือง การตั้งกระโจมสีขาว หมายถึงถ้า ยอมแพ้เดี๋ยวนี้พวกเขาจะได้รับการไว้ชีวิต ถ้าพวกเขาไม่ยอมจำนน พวกมองโกลก็จะตั้งกระโจมสีแดงเป็นการบอกว่าเฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่จะถูกฆ่า ส่วนการตั้งกระโจมสีดำ คือการประกาศว่าทุกคนภายในกำแพงจะต้องตาย

สังหารหมู่ทั้งเมือง

กุญแจสำคัญสำหรับการสร้างความหวาดกลัวทางจิตวิทยาก็คือชื่อเสียงในความโหดร้าย พวกมองโกลต้องการให้ศัตรูของพวกเขาเชื่อว่าถ้าไม่ยอมแพ้ ทุกคนในเมืองจะถูกฆ่าอย่างสยดสยอง ซึ่งก็ไม่ต้องใช้เล่ห์กลใดๆเพื่อให้ได้รับชื่อเสียงดังกล่าว เพราะพวกเขาทำมันจริงๆ

มองโกลได้ชื่อว่าเป็นชนเผ่าที่ใช้ชีวิตบนหลังม้า.
ถ้าเมืองนั้นไม่ยอมแพ้ กองทัพมองโกลจะสังหารหมู่ทุกคนภายในเมือง ทั้งผู้หญิงและเด็ก ถูกสังหารโหดทั้งหมด บางครั้งถึงกับล้อมจับแมวและสุนัขฆ่าพวกมันเพื่อข่มขวัญด้วยซ้ำ หัวของผู้แพ้จะถูกตัดและกองเป็นพีระมิดหัวกะโหลกเพื่อให้ใครก็ตามที่ผ่านมาเห็นได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถ้าทำให้ท่านข่านโกรธ

ดีดศพติดเชื้อข้ามกำแพงเมือง

กองทัพมองโกลน่าจะเป็นกองทัพแรกที่ใช้สงครามชีวภาพ ในขณะที่บุกตะลุยเข้าไปในยุโรป พวกมองโกลก็เจอกับกาฬโรค ถ้าเป็นทัพอื่นคงเผ่นกลับ แต่มองโกลกลับใช้มันสร้างความได้เปรียบ

ศัตรูตั้งมั่นอยู่ภายในนครคาฟฟา ซึ่งพวกมองโกลปิดล้อมอยู่ เมื่อกาฬโรคเริ่มคร่าชีวิตพวกมองโกล พวกเขาตระหนักว่าไม่อาจปิดล้อมอยู่ได้นานๆอีกต่อไป แต่ก็ต้องการให้เกิดผลกระทบอันยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจากไป ดังนั้น พวกเขาจึงโยนศพข้ามกำแพงเมืองไป

ศพทหารมองโกลที่ตายด้วยกาฬโรคจะถูกวางบนเครื่องดีดและถูกส่งให้บินข้ามกำแพงไป ผู้คนในเมืองก็พยายามกำจัดศพเหล่านั้นโดยการโยนลงทะเล แต่ก็ทำให้ระบบส่งน้ำของพวกเขาปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไปอีก ในไม่ช้ากาฬโรคก็ระบาดไปทั่วเมือง

บางคนหนีออกจากกำแพงเมืองไปไกลทางทิศตะวันตก แต่มันสายเกินไป เพราะคนเหล่านั้นเป็นพาหะของโรคไปเรียบร้อยแล้ว และการที่หนีออกไปทางตะวันตก ก็กลายเป็นการแพร่เชื้อไปทั่วยุโรป
การปะทะระหว่างทหารมองโกลกับทัพลิทัวเนียของยุโรป ในยุคหลังเจงกิสข่าน.
ฆ่าโดยไม่ให้หลั่งเลือด

พวกมองโกลเชื่อว่าเลือดบรรจุอยู่ในแกนวิญญาณของมนุษย์ พวกเขาไม่กล้าทำให้เลือดของคนชั้นสูงหยดลงดิน โดยเชื่อว่ามันจะทำให้พื้นดินแปดเปื้อน ดังนั้นเมื่อพวกเขาฆ่าคนในราชวงศ์ พวกเขาจึงต้องหาวิธีอื่นๆ

ตามปกติ คนสูงศักดิ์จะถูกอุดจมูกและปากหรือถูกจับกดน้ำ ถ้าสมาชิก คนหนึ่งของตระกูลข่านทรยศ เจงกิสข่านจะมัดผู้ทรยศในผืนพรมและโยนลงแม่น้ำ แต่บางครั้งก็มีวิธีที่สร้างสรรค์ได้สยดสยองกว่านั้น กูยุคข่านจัดการหนึ่งในคู่แข่งโดยการเย็บปิดทวารทั้งหมดแล้วผลักลงในแม่น้ำ

ฝีมือการยิงธนูของมองโกลเป็นที่ขยาดของศัตรู.
กับศัตรูผู้สูงศักดิ์ก็เช่นกัน ครั้งหนึ่ง มองโกลมัดเจ้าชายรัสเซียจำนวนหนึ่งไว้ใต้แผ่นกระดานและจัดงานเลี้ยงบนกระดานแผ่นนั้นเพื่อให้พวกเขาหายใจไม่ออกและตายโดยไม่ต้องหลั่งเลือด และอีกครั้ง เจงกิสข่านได้สั่งฆ่าชายคนหนึ่งโดยการเทเงินที่หลอมเหลวลงในดวงตาของเขา
เรียกได้ว่าโหดระดับโลกเลยทีเดียว.

รายการบล็อกของฉัน

 hellomanman  happy-topay  invite-buying
 men-women-apparel diarylovemanman news-the-world
 homemanman alovemanman
 menmen-love
 ghost-in-manman  U.F.O.manman fishmanman
foodmanman  flowermanman herbs-in-manman
devilmanman herbs-in-manman manman clip